หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนปักหมุดแข่งขันเต็มศักยภาพในตลาดไอทีโลก โดยเฉพาะ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI (Artificial Intelligence) ที่จีนตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการพัฒนาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปรับการใช้งานตามไลฟ์สไตล์ของคนโดยอัตโนมัติ
จากเป้าหมายดังกล่าว จีนจึงกระโดดเข้าแข่งขันในเซ็กเตอร์ใหม่ พัฒนาให้ประเทศตนเองกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต “ชิป” โดยเฉพาะ “ชิปปัญญาประดิษฐ์” หรือชิป AI ที่จะถูกใช้ในโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ในบ้าน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- NETA X ขายมิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
รัฐบาลจีนและผู้ผลิตในจีนวางแผนอย่างชาญฉลาด เนื่องจากรู้ดีว่าชิปนั้นเสมือน “สมอง” ของทุกอุปกรณ์ แม้ว่าจีนจะมาทีหลังในอุตสาหกรรมผลิตชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งมี “Intel” และ “Qualcomm” เป็นผู้นำระดับโลก แต่ “Yu Kai” ผู้ก่อตั้ง”Horizon Robotics” สตาร์ตอัพจีน
ผู้พัฒนาชิป AI กล่าวว่า ในยุค AI ผู้พัฒนาจีนเข้าร่วมตลาดตั้งแต่เริ่ม จึงมั่นใจว่าจะเป็นผู้นำโลกในการผลิตชิปนี้ได้อย่างแน่นอน และปัจจุบันจีนถือเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย
นักวิเคราะห์หลายรายก็มองไปในทิศทางเดียวกับผู้ก่อตั้ง Horizon Robotics ว่า ในอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก
เริ่มต้นจากจุดสตาร์ตเดียวกัน จีนจึงมีโอกาสมาก ประกอบกับจีนมีเงินทุนมหาศาล พร้อมทั้งแรงงานฝีมือ ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ รวมถึงการสนับสนุนของรัฐบาลอย่างเต็มกำลัง และมากไปกว่านั้นคือ จีนมี “ดาต้า” จำนวนมหาศาล ที่จำเป็นสำหรับพัฒนา AI
“คาร์ล ฟรอยด์” นักวิเคราะห์จาก “Moor Insight & Strategy” ระบุว่า 4 ปัจจัยหลักที่ทำให้จีนมีโอกาสไม่น้อยหน้าใครในสมรภูมิการผลิตชิป AI คือ 1.เงินทุนมหาศาลในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งการระดมทุนเกี่ยวกับ AI ในจีนมักจะได้ผลตอบรับที่ดี โดย 9 เดือนแรกของปี 2017 มีการระดมทุนในสตาร์ตอัพ AI มากถึง 17,800 ล้านหยวน
หนึ่งในผู้พัฒนาชิป AI ของจีนอย่าง “Cambricon Technologies” ภายหลังก่อตั้งได้ 18 เดือน ก็ได้รับเม็ดเงินจากนักลงทุนมากถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นทุนจากรัฐบาลและอาลีบาบา กรุ๊ป ทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เมื่อปี 2015 Horizon Robotics ก็ระดมทุนได้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมี Intel และเศรษฐีรัสเซีย “Yuri Milner” เป็นนักลงทุนใหญ่
2.ผู้บริโภคในประเทศจีนมากถึง 750 ล้านคน ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ผู้พัฒนาจึงมีทั้งลูกค้าและข้อมูลสำหรับไว้ใช้พัฒนาอย่างเหลือเฟือ และไม่ใช่แค่สตาร์ตอัพจีนที่เห็นโอกาสตรงนี้ เพราะ “Kneron” สตาร์ตอัพจากซานดิเอโกก็เข้ามาพัฒนาชิป AI ร่วมกับผู้ออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้าจีน
“อัลเบิร์ต หลิว” ซีอีโอของ Kneron กล่าวว่า ครั้งแรกที่พาร์ตเนอร์จีนของเขาส่งมอบข้อมูลที่มีอยู่เพื่อใช้พัฒนาอัลกอริทึ่มของชิปในระบบออนไลน์ ทีมของเขาตกใจมากกับจำนวนข้อมูลมหาศาลดังกล่าว
3.รัฐบาลให้การสนับสนุนการพัฒนาชิป AI อย่างเต็มกำลัง โดยเมื่อกรกฎาคมปีที่แล้ว รัฐบาลตั้งเป้าหมายสร้างชาติจีนให้เป็นผู้นำการพัฒนา AI ภายในปี 2030 โดยกำหนดให้ AI เป็น 1 ใน 8 เทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับโลกอนาคต โดยรัฐบาลกลางได้สนับสนุนเงินทุน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเป้าหมายดังกล่าว
ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นได้เตรียมสนับสนุนผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อีก 30 ราย ด้วยเงินทุนกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
4.ปัจจุบันจีนมีแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ผ่านการทำงานยักษ์บริษัทไอทีของจีนอย่าง “หัวเว่ย”แบรนด์มือถือที่มียอดขายอันดับ 3 ของโลก โดยหัวเว่ยได้รับขนานนามว่าเป็นโรงเรียนฝึกฝนของเหล่าวิศวกรหัวกะทิไอทีในจีน และมีเงินทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการผลิตชิปของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งล่าสุดหัวเว่ยก็ได้จับมือกับ Cambricon ในการผลิตชิป AI ตัวล่าสุดที่ใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่น Mate 10 ขณะที่มีพนักงานเก่าหลายคนของหัวเว่ยที่ออกมาสร้างสตาร์ตอัพของตัวเอง ซึ่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาชิปของ Horizon Robotics คนปัจจุบันก็เคยทำงานให้กับหัวเว่ยมาก่อน
“ถ้ารวมปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผมไม่คิดว่าผู้พัฒนาจีนจะฝันหวานเกินไป พวกเขามีศักยภาพอย่างมาก” นักวิเคราะห์จาก Moor กล่าว
การมาถึงของจีนในโลกปัญญาประดิษฐ์ จึงอาจเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คาดคิด และสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่บริษัทในซิลิคอนวัลเลย์หน้าเดิมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว