“พวกเขาทุบตีลูกชายผมที่ไม่ยอมไปสู้รบในยูเครน”

 

Ukraine

BBC

 

เซอร์เก (ชื่อสมมุติ) พ่อของทหารรัสเซียนายหนึ่งได้เชิญสตีฟ โรเซนเบิร์ก ผู้สื่อข่าวของบีบีซีไปที่บ้าน เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกชายเขาให้ฟัง ในตอนที่ทหารนายนี้ถูกส่งตัวไปยูเครน เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพรัสเซีย เซอร์เกโน้มน้าวให้ลูกปฏิเสธเพราะว่า “มีญาติอยู่ที่นั่น (ยูเครน)” แต่เขาก็บอกว่า เขาจะไป เมื่อไปแล้วเซอร์เกก็มีการติดต่อกับลูกชายอยู่เนือง ๆ และเขาก็เล่าให้พ่อฟังถึงการสู้รบแห่งหนึ่ง

เซอร์เก เล่าว่า ลูกชายเขาบอกว่า กองทัพไม่ได้ให้เครื่องป้องกันอะไรแก่ทหารเลย ไม่มีข้อมูลข่าวกรอง ไม่มีการเตรียมพร้อม พวกเขาถูกสั่งให้บุก แต่ไม่มีใครรู้ว่า ข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง

Advertisment

เซอร์เกพยายามโน้มน้าวให้ลูกชายให้ปฏิเสธการร่วมสู้รบ จนในที่สุดลูกชายก็ได้เขียนจดหมายเป็นลักษณ์อักษรปฏิเสธการเข้าร่วมต่อสู้ เขาและคนอื่น ๆ ที่ไม่ยอมรบ ถูกริบปืนและถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเฝ้าตัวไว้

เซอร์เกเดินทางไปที่แนวหน้าของการสู้รบ เพื่อพยายามร้องเรียนหลายต่อหลายครั้งไปที่เจ้าหน้าที่ทางการกองทัพ อัยการ และเจ้าหน้าที่สอบสวน ให้มีการปล่อยตัวลูกชาย ในที่สุด ก็เป็นผลสำเร็จ

ลูกชายเขาถูกส่งตัวกลับรัสเซีย และได้เปิดเผยเรื่องราวที่เขาพบเจอขณะถูกควบคุมตัวให้พ่อฟังว่า มีทหารรัสเซีย “อีกกลุ่ม” พยายามบังคับให้เขาต่อสู้

เซอร์เกเล่าว่า พวกเขาทุบตีลูกชายและพาตัวออกไปข้างนอกเหมือนกับว่า จะนำตัวเขาไปยิง สั่งให้เขานอนคว่ำหน้านับหนึ่งถึงสิบ เมื่อปฏิเสธก็มีการใช้ปืนสั้นตีศีรษะของลูกชายเขาหลายครั้ง จนหน้าโชกไปด้วยเลือด

Advertisment

จากนั้นพวกเขาก็นำตัวลูกชายของเขาไปไว้ในห้องห้องหนึ่งและบอกกับลูกชายของเขาว่า “คุณมากับเรา ไม่งั้นเราจะฆ่าคุณ” จากนั้นก็มีคนบอกว่า พวกเขาจะนำตัวลูกชายของเขาไปทำงานในห้องเก็บของ

ตอนที่รัสเซียบุกยูเครนในเดือน ก.พ. ลูกชายของเขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพ ประธานาธิบดีปูติน บอกว่า จะส่งทหารมืออาชีพไปเข้าร่วม “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” เท่านั้น

แต่เมื่อเดือน ก.ย. ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินได้ประกาศสิ่งที่เขาเรียกว่า “การระดมพลบางส่วน” โดยมีการเกณฑ์ประชาชนชาวรัสเซียหลายแสนคนเข้าร่วมกับกองทัพ

ทหารที่ถูกเกณฑ์เข้าไปใหม่หลายคนได้ร้องเรียนว่า พวกเขาถูกส่งไปพื้นที่สงครามโดยไม่มีอุปกรณ์ที่เพียงพอ หรือขาดการฝึกซ้อม มีรายงานหลายครั้งจากยูเครนเกี่ยวกับทหารที่ถูกเกณฑ์เหล่านี้ว่า ถูกควบคุมตัว ในบางกรณีถูกขังไว้ในห้องขังและชั้นใต้ดิน เพราะไม่ยอมร่วมรบในแนวหน้า

There are reports of mobilised Russian troops locked in cellars and basements for refusing to fight in Ukraine

THE INSIDER
มีรายงานว่าทหารเกณฑ์รัสเซียที่ไม่ยอมสู้รบในยูเครนถูกคุมขังไว้ในห้องใต้ดิน

 

เอเลนา โปโปวา จากกลุ่มผู้คัดค้านการเกณฑ์ทหารไปร่วมทำสงคราม (Movement of Conscientious Objectors) ของรัสเซีย กล่าวว่า นี่คือวิธีในการทำให้คนกลับไปรบ เป้าหมายของผู้บัญชาการคือ การรักษากำลังทหารไว้ที่นั่น เขารู้แต่เพียงวิธีการข่มขู่และใช้ความรุนแรง แต่ “คุณไม่สามารถบังคับให้คนสู้รบได้”

สำหรับชาวรัสเซียบางคน การไม่ยอมกลับไปแนวหน้าในการสู้รบอาจจะเป็นจุดยืนด้านศีลธรรม แต่มีคำอธิบายเรื่องนี้มากกว่านั้น

เอเลนา โปโปวา บอกว่า อีกเหตุผลหนึ่งคือพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม พวกเขาใช้เวลาอยู่ในหลุมเพลาะ ทั้งหนาวและหิว แต่เมื่อกลับมาก็ถูกผู้บัญชาการตะโกนและดุด่า

ทางหารรัสเซียบอกว่า เรื่องศูนย์กักกันตัว และทหารที่หลงผิดเหล่านี้ เป็นข่าวปลอม

“เราไม่มีค่ายใด ๆ หรือสถานที่กักขังใด ๆ หรือทำนองนั้น [สำหรับทหารรัสเซีย]” ประธานาธิบดีปูติน ยืนยันก่อนหน้านี้ในเดือนนี้ “นี่เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ และเป็นการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จและไม่มีอะไรสนับสนุนข้อกล่าวอ้างเหล่านี้”

“เราไม่มีปัญหาใด ๆ กับทหารที่ออกจากการต่อสู้” ผู้นำรัสเซียกล่าว “ในสถานการณ์ที่มีการระดมยิงโจมตีหรือทิ้งระเบิด คนปกติทุกคนก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ในเรื่องของร่างกาย แต่หลังจากมีการปรับตัวไปช่วงเวลาหนึ่ง คนของเขาก็ต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม”

อันเดร นายทหารยศร้อยโทของรัสเซีย หยุดการร่วมต่อสู้ เขาถูกส่งตัวไปยูเครนในเดือน ก.ค. อันเดร ถูกควบคุมตัวเพราะไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาติดต่อกับอ็อกซานา แม่ของเขา ที่อยู่ในรัสเซีย และบอกเธอว่า เกิดอะไรขึ้น

“เขาบอกฉันว่า เขาไม่ยอมนำทหารไปตาย” อ็อกซานาเล่า “ในฐานะนายทหาร เขารู้ว่า ถ้าให้ลูกน้องเดินหน้าไปแบบนั้น พวกเขาจะไม่รอดชีวิตกลับมา พวกนั้นก็เลยส่งลูกชายของฉันไปศูนย์ควบคุมตัว แล้วฉันก็ได้รับข้อความบอกว่า เขาและเจ้าหน้าที่อีก 4 คน ถูกควบคุมตัวไว้ในห้องใต้ดิน ไม่มีใครพบเห็นพวกเขามานาน 5 เดือนแล้ว”

“ต่อมา ฉันได้รับแจ้งว่า อาคารที่พวกเขาอยู่ถูกระดมยิง และผู้ชายทั้ง 5 คนก็หายตัวไป ยังไม่มีใครพบตัวพวกเขา สถานะอย่างเป็นทางการของพวกเขาคือ สูญหายขณะปฏิบัติหน้าที่ มันฟังไม่เข้าเรื่อง ไร้สาระ การปฏิบัติต่อลูกชายของฉันแบบนี้ไม่ใช่แค่ผิดกฎหมาย แต่ยังไร้มนุษยธรรมด้วย”

ย้อนกลับมาที่เรื่องของเซอร์เก เขาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายในยูเครนทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น

เซอร์เกบอกว่า กำแพงความเข้าใจผิดระหว่งเราหายไป ความอวดดีของเขาหายไปด้วย ลูกชายบอกเขาว่า “ผมไม่คิดเลยว่า ประเทศของผมเองจะทำกับผมเช่นนี้” เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ผู้คนไม่รู้ว่า เราเผชิญอันตรายมากแค่ไหน ไม่ใช่จากฝ่ายตรงข้าม แต่จากฝ่ายของเราเอง”

……..

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว