คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด ผู้้เขียน : นิธิสาร พงศ์ปิยะไพบูลย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
เศรษฐกิจไทยได้ย่างเข้าไตรมาส 2 ของปี 2566 พร้อมกับอากาศที่ร้อนกว่าทุกปี สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งภาครัฐและเอกชนต่างทำนายว่า GDP ของไทยในปีนี้และปีหน้าจะขยายตัวดีกว่าปี’65 ที่โตเพียง 2.6% บริษัท Consensus Economics ได้รวบรวมประมาณการ GDP ของสำนักวิเคราะห์เอกชน 24 แห่งในเดือนเมษายน พบว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% ในปี’66 และ 3.8% ในปี’67 ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการ GDP ล่าสุดในรายงานนโยบายการเงินไตรมาสแรกของ ธปท. ซึ่งอยู่ที่ 3.6% ในปีนี้ และ 3.8% ในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ประมาณการของนักวิเคราะห์ทั้ง 24 แห่งมีความแตกต่างกัน เช่น GDP ปี’66 มีตั้งแต่ต่ำสุด 2.5% ไปจนถึงสูงสุด 4.5% ความแตกต่างที่อาจบวกลบได้ถึง 1% จากค่าเฉลี่ยนี้ สะท้อนความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ ทั้งด้านต่างประเทศและภายในประเทศ โดยโอกาสที่ GDP จะน้อยกว่าคาด เรียกว่า “ความเสี่ยงด้านต่ำ” (downside risk) และโอกาสที่ GDP จะมากกว่าคาด เรียกว่า “ความเสี่ยงด้านสูง” (upside risk)
- หวยงวด 2 พ.ค. เช็กสถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งฯ ย้อนหลัง 10 ปี
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 2 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- ทุเรียนราคาดิ่งเวียดนามเบียดชิง ล้งซื้อเหมายกสวนหนีร้อนขาดน้ำ
สาเหตุที่เรียกทั้งขาต่ำและขาสูงว่าเป็นความเสี่ยง เพราะต่างกระทบต่อการวางแผนในอนาคต เช่น หากธุรกิจคาดว่าเศรษฐกิจจะดี จึงผลิตสินค้าออกมามาก แต่ GDP ต่ำกว่าคาด จะทำให้สินค้าค้างสต๊อก ในทางกลับกัน หากธุรกิจคาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ จึงผลิตสินค้าออกมาน้อยเกินไป แต่ GDP สูงกว่าคาด จะทำให้เสียโอกาสในการขาย เป็นต้น
ในระยะข้างหน้า แบงก์ชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านสูงมากกว่าด้านต่ำ โดยปัจจัยที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตดีกว่าคาด ได้แก่ จำนวนและการใช้จ่ายของ “นักท่องเที่ยว” อาจดีกว่าที่ประเมินไว้ แบงก์ชาติคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 28 และ 35 ล้านคนในปี’66 และ ’67 ตามลำดับ โดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากช่วงครึ่งปีหลังที่เป็น high season ของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณปี’67 อาจไม่ล่าช้าเหมือนที่คาดไว้ หากทางการสามารถดำเนินการพิจารณางบประมาณได้เร็วหลังการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านต่ำยังคงมีอยู่เช่นกัน แม้แบงก์ชาติคาดว่าการส่งออกจะ “หดตัว” ในครึ่งปีแรก และกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาด ก็อาจกระทบการส่งออกของไทยได้ หรือค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนไทยที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนมากกว่าที่คาดไว้
สำหรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี’66 และ ’67 แบงก์ชาติคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.9% และ 2.4% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่หักราคาพลังงานและอาหารสดออกไป จะอยู่ที่ 2.4% และ 2.0% ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสูงกว่าระดับในอดีตและอาจสูงต่อไปอีกระยะ
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านสูงมากกว่าด้านต่ำ จาก (1) การส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้แบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยยังไม่ได้ส่งผ่านไปให้ผู้บริโภคทั้งหมดในตอนที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวเข้มแข็งมากขึ้น ธุรกิจจึงอาจใช้จังหวะนี้ส่งผ่านต้นทุนที่เหลือไปยังผู้บริโภค
การสำรวจโดยแบงก์ชาติในเดือนมีนาคม 2566 พบว่าธุรกิจประมาณ 80% ของที่สำรวจยังคงมีต้นทุนที่อั้นไว้บางส่วน ซึ่งอาจทยอยส่งผ่านในระยะต่อไปได้ (2) แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ จากการท่องเที่ยวที่อาจฟื้นตัวเร็วและมากกว่าคาด และ (3) ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่อาจสูงกว่าคาด จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยด้านอุปทานที่ไม่แน่นอน เช่น ในเดือนเมษายน กลุ่ม OPEC+ ได้ประกาศปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยไม่มีใครคาดไว้ก่อน เป็นต้น
ยังมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออีกหลายปัจจัยนอกจากที่กล่าวมา โดยบางเรื่องมีโอกาสเกิดน้อย แต่เมื่อเกิดแล้วส่งผลกระทบได้รุนแรง (นักลงทุนมักเรียกความเสี่ยงชนิดนี้ว่า tail risk) เช่น โรคอุบัติใหม่ที่ระบาดไปได้ทั่วโลกอย่างโควิด-19 ภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งมีโอกาสเกิดบ่อยขึ้นจาก climate change ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อการค้าและราคาวัตถุดิบทั่วโลก เป็นต้น
ภาคเอกชนและผู้กำหนดนโยบายจึงควรเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งการทยอยลดหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน การดำเนินนโยบายที่คำนึงถึงเสถียรภาพของประเทศในทุกด้าน รวมถึงให้น้ำหนักกับการสร้างความเติบโตในระยะยาว เช่น การสร้างนวัตกรรม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การปรับตัวเข้าสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
แม้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า เราจึงควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปครับ