บทบรรณาธิการ
กระแสข่าวรัฐบาลเตรียมปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มจากปัจจุบันที่จัดเก็บ 7% จากเพดานสูงสุด 10% ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองรัฐกำลังถังแตก ทำให้รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ กับ รมว.คลัง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ต้องออกมาโต้พร้อมยืนยันยังไม่ปรับขึ้น VAT ช่วงนี้
เป็นการสลัดเผือกร้อนในมือทิ้งพร้อม ๆ กับปิดประตูช่องทางเพิ่มรายได้จาก VAT อย่างน้อยจากนี้ไปอีก 1 ปีภาษี VAT จะจัดเก็บในอัตราเดิมที่ 7% แม้รายจ่ายจะพุ่งขึ้นสวนทางรายได้ เพราะในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังรุมเร้า รัฐบาลต้องควักกระเป๋าช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ภาคธุรกิจหลายกลุ่ม ลดหย่อนสารพัดภาษีผ่อนภาระที่ทุกภาคส่วนต้องแบกรับ
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
ต้นตอข่าวเผือกร้อนที่กลายเป็นข่าวลือ หลังรัฐปฏิเสธทันควัน มาจากการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษีหลัก อย่างกรมสรรพากร สรรพสามิต ศุลกากรลดน้อยลงมาก 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 ตั้งแต่ ต.ค. 2563- ม.ค. 2564 มียอดจัดเก็บรวม 709,007 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 60,030 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้า 7.8% และเมื่อเทียบกับยอดจัดเก็บช่วงเดียวกันของปีก่อนปีนี้รายได้ลดลง 13% หรือ 106,292 ล้านบาท
ชี้ชัดว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจภายในและนอกประเทศ กับสถานการณ์โควิดช่วงปีเศษที่ผ่านมาถึงขณะนี้ยังกระทบรุนแรง แม้ปลายไตรมาสแรกจะเห็นสัญญาณการบริโภค การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้น แต่ต้องไม่ประมาท การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินการคลังของรัฐบาลจึงมีความสำคัญไม่น้อยกว่าการตั้งการ์ดรับความเสี่ยงโควิดกลับมาระบาดซ้ำ ๆ
การบริหารจัดการความเสี่ยงทางการคลังจึงจำเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศต้องกล้าตัดสินใจทั้งเรื่องการหารายได้จากการจัดเก็บภาษี การใช้จ่าย การก่อหนี้สาธารณะ ฯลฯ หากมีความจำเป็นก็ต้องทำ แม้อาจนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกคัดค้าน ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการเมืองและสถานะรัฐบาล เพราะถ้าการตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้องเหมาะสม จะเป็นเกราะคุ้มกันเมื่อมีปัญหา
ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 30 มี.ค.หยิบยกประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของประเทศ การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าขึ้นหารือถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะภายใต้สถานการณ์ขณะนี้รัฐบาลทั่วโลกต่างทุ่มเงินงบประมาณจำนวนมากช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากรัฐบาลไทย
เพราะแม้วัคซีนเป็นความหวังแต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ การเตรียมความพร้อมทางการคลัง การหารายได้มาจุนเจือรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากจึงจำเป็น ที่สำคัญหากการบริหารการคลังเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ก็ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงทางการเมือง