Care the Wild “DMT” ปลูกป้องป่าชุมชนบ้านหนองปลิง กาญจนบุรี

DMT

โครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” เป็นความร่วมมือระหว่าง 4 ประสาน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กรมป่าไม้, ภาคเอกชน และชุมชน ด้วยการดำเนินกิจกรรมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่ป่าชุมชนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าชุมชน ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงของการเป็นแหล่งอาหารอย่างยั่งยืน เพราะการเลือกชนิดพันธุ์ต้นไม้ที่ปลูกจะมีชนิดต้นไม้ที่ใช้เป็นอาหารชุมชน ทั้งไม้ผลและไม้ใบที่ทำอาหารได้ เช่น ขี้เหล็ก, สะเดา, ผักหวาน เป็นต้น

สืบเนื่องจากรายงานสถานะป่าไม้ในประเทศไทยตลอด 5 ปีผ่านมา พื้นที่ป่าในประเทศมี 102 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31.5 ของประเทศ จากพื้นที่ทั้งหมด 322 ล้านไร่ซึ่งข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ 12 ระบุว่า หากต้องการคงความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยควรมีพื้นที่ป่าร้อยละ 40 หรือ 128 ล้านไร่ เพื่อให้เกิดพื้นที่ป่าที่แท้จริง

ผลเช่นนี้จึงทำให้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ริเริ่มและขับเคลื่อนโครงการ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อระดมทุนในการปลูกต้นไม้ใหม่ ปลูกต้นไม้เสริม และส่งเสริมการดูแลต้นไม้ โดยผ่านภาคีองค์กรเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2563 และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนเข้าร่วมปลูกต้นไม้กับชุมชนเข้มแข็งที่จะดูแลการปลูกและปกป้องต้นไม้ให้เติบโตเป็นผืนป่าอย่างแท้จริงตลอด 10 ปี ตามเงื่อนไขของโครงการที่จะช่วยลดปัญหาเดิม ๆ ของการปลูกป่าที่เป็นกิจกรรม แต่ไม่ได้ผลลัพธ์เป็นต้นไม้ในที่สุด

ล่าสุด บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เข้าร่วมโครงการ และสนับสนุนปลูกป่าบนพื้นที่ชุมชนบ้านหนองปลิง ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี จำนวน 10 ไร่ ในฤดูปลูกของปีนี้ โดย DMT เป็นบริษัทที่ตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบของ ESG มาอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้บริษัทขึ้นทำเนียบหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 ซึ่งเป็น 1 ใน 170 บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกครั้งนี้

Advertisment

ทั้งยังเป็น 1 ใน 33 รายชื่อหุ้นยั่งยืนในกลุ่มธุรกิจบริการ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมุ่งมั่นกับการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง พร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อม ๆ กับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน

“ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย” กรรมการผู้จัดการบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของ DMT ช่วงที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านความยั่งยืน ด้วยการส่งมอบคุณค่าแก่สิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมมาโดยตลอด เพราะเราตระหนักดีว่า การที่ DMT จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต้องมาพร้อมกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยยึดมั่นการให้บริการแก่ผู้ใช้ทางด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานตามมาตรฐาน ISO 14001 อีกทั้งมีการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนให้มีกิจกรรมที่มีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง

Advertisment

“เราให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องมาจากซีเอสอาร์ 5 ด้านที่คุณธานินทร์ พานิชชีวะ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทวางรากฐานไว้ ได้แก่ หนึ่ง Tollway Smart Way ยกระดับโอกาสการศึกษา สอง Tollway Happy Way ยกระดับชุมชนปลอดยาเสพติด สาม Tollway Safety Way ยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน สี่ Tollway Better Way ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของสังคม และห้า Tollway Green Way ยกระดับสิ่งแวดล้อม”

“โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเราทำหลายเรื่อง เช่น การนำใบผ่านทางมารีไซเคิลเป็นสมุดส่งมอบไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ตอนนี้ดำเนินการเข้มข้นขึ้น โดยองค์กรมีการรณรงค์ส่งเสริมให้พนักงานช่วยกันประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ มีการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ ขณะเดียวกัน รถผู้บริหารก็เปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรืออีวี ผมมองว่าสิ่งที่เราทำดีอยู่แล้ว แต่พอมาตั้งคำถามอีกครั้ง ก็คิดว่าดีพอหรือยัง”

“เพราะเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) มาตั้งแต่ปี 2564 และทาง SET เขามีมุมมองกว้างกว่าเรา ทั้งยังมีโครงการต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะโครงการด้านสิ่งแวดล้อม DMT จึงเข้าร่วมทั้งโครงการ Care the Bear ช่วยกันขับเคลื่อนการลดภาวะโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดกิจกรรมขององค์กร แล้วก็ Care the Whale ที่ทำเรื่องลดขยะ รวมถึง Care the Wild อีกด้วย”

“ดร.ศักดิ์ดา” กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการ Care the Wild เป็นโครงการที่ดี เพราะเป็นความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ใช่โครงการปลูกป่าแล้วทิ้งไป แต่มีชุมชนเข้ามาช่วยดูแลด้วย การดำเนินการลักษณะนี้จะทำให้โครงการยั่งยืน เพราะเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน คือทุกต้นจะต้องรอด 100% หากบางต้นได้รับความเสียหายจะมีการปลูกซ่อม DMT เข้ามาช่วยสนับสนุนการปลูกป่า โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 50 ไร่ ในระยะ 5 ปีจะทยอยปลูกปีละ 10 ไร่

“แม้ DMT จะไม่ใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของประชากรโลก อะไรที่ช่วยได้ก็ควรทำ การช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผมมองว่าจะดีต่อคนทั้งโลก ยกตัวอย่างเหตุการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นที่ประเทศเมียนมา แต่พื้นที่เชียงใหม่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ผมมองว่าทุกแห่งล้วนส่งผลกระทบกันไปมา ดังนั้น ในปีต่อ ๆ ไปเรื่องโลกร้อนจะเป็นประเด็นที่ซีเรียสขึ้น เพราะตอนนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผลกระทบรุนแรงแค่ไหน อย่าง 10-20 ปีก่อนพูดเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ฟังแล้วเหมือนเป็นเรื่องโกหก แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ากำลังจะเกิดขึ้นจริง”

“ผมในนาม DMT ต้องขอบคุณตลาดหลักทรัพย์ฯ และกรมป่าไม้ที่เป็นตัวกลางประสานให้เกิดความร่วมมือกับชุมชน DMT ซึ่งเป็นองค์กรที่อยู่ในเมือง เพราะถ้าหากเราคิดโครงการเอง ทำเองก็เหมือนมีมือเดียว ไม่เป็นกลุ่มก้อน ผมมองว่าการร่วมมือกันดีกว่า เราสนับสนุนชุมชน และชุมชนช่วยเป็นหูเป็นตา สุดท้ายแล้วชุมชนเองก็จะได้ประโยชน์ด้วย”

“พิชัย เอกศิริพงษ์” ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการจัดการป่าชุมชน ผู้แทนอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า กรมป่าไม้เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของคนทุกภาคส่วน ทั้งยังได้ส่งเสริมการจัดการป่าชุมชนมาตั้งแต่ปี 2530 ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 30 กว่าปี จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติป่าชุมชนออกมาส่งเสริมการจัดตั้งป่าชุมชนให้พี่น้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่า ซึ่งตามพระราชบัญญัติป่าชุมชนมีวัตถุประสงค์คือ มุ่งอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่า ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณี และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ของชุมชนอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยมีป่าชุมชนตามพระราชบัญญัติป่าชุมชนอยู่ 11,194 แห่ง รวมเนื้อที่กว่า 6 ล้านไร่ ประโยชน์ของการตั้งป่าชุมชนเพื่อชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่กฎที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ชุมชนดูแล แต่แตะต้องไม่ได้ ซึ่งก็จะมีการแบ่งสัดส่วนชัดเจนว่า พื้นที่ป่า 60% เป็นพื้นที่อนุรักษ์ และอีก 40% ใช้ประโยชน์ได้

“ทั้งนี้ ป่าชุมชนบ้านหนองปลิง มีพื้นที่กว่า 1,700 ไร่ เป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็ง เริ่มจัดตั้งเป็นป่าชุมชนตั้งแต่ปี 2553 ชาวบ้านหนองปลิงช่วยกันดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยสภาพพื้นที่แห้งแล้ง การดูแลอาจจะยากฉะนั้น โครงการจึงร่วมสนับสนุนปลูกต้นไม้ และติดตั้งระบบน้ำ ระบบติดตามต่าง ๆ ซึ่งผมคาดหวังว่าพื้นที่ป่าแห่งนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากการดูแล และผืนป่าแห่งนี้จะเปรียบเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ต และเป็นโรงเรียนธรรมชาติให้กับเยาวชนของเราได้ศึกษา รวมทั้งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของชุมชน เพื่อสืบทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานต่อไป”

“หน่วย บุญลือ” ผู้นำชุมชนบ้านหนองปลิง ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ก่อนจะเป็นป่าชุมชนบ้านหนองปลิง พื้นที่ประสบปัญหามีคนลักลอบตัดไม้นำไปขาย พื้นดินแห้งแล้ง ผืนป่าเสื่อมโทรม ผมจึงลุกขึ้นมาปกป้องป่าไม่ให้คนเข้ามาลักลอบตัด พร้อมกับหารือคนในหมู่บ้านตั้งทีมช่วยกันดูแล ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเนื่องจากน้อยคนจะเข้าใจว่าทำไมเราต้องมาช่วยกันดูแลป่า แต่ด้วยสภาพผืนดินค่อนข้างแห้งแล้ง อาจทำให้ต้นไม้อยู่รอดยาก

“พอเราเข้าร่วมโครงการกับตลาดหลักทรัพย์ฯ กรมป่าไม้ และบริษัททางยกระดับดอนเมืองฯ เราก็มุ่งมั่นว่าจะดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้อยู่รอด เพราะมีการติดตั้งระบบน้ำระบบติดตาม พร้อมกับตั้งทีมมากกว่า 20 คนช่วยกันผลัดเวรเข้ามาดูแล หากต้นไม้ต้นไหนได้รับความเสียหาย เราก็ต้องปลูกซ่อม ซึ่งผมคาดว่าชุมชนสามารถดูแลได้อย่างแน่นอน”

“ผมจึงคาดหวังว่าผืนป่าแห่งนี้จะกลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นมรดกให้กับลูกหลานของเรา และเป็นพื้นที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทยต่อไป”

โครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” แพลตฟอร์มระดมทุนปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว ร่วมสร้างสมดุลระบบนิเวศจากต้นทาง เพื่อลดภาวะโลกร้อนและเป็นแหล่งอาหารชุมชนอย่างยั่งยืน องค์กรที่สนใจร่วมปลูกไม้ให้ได้ป่า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.setsocialimpact.com หรือ SET Contact Center 0-2009-9999