พระเมตตาแผ่ไพศาล พระราชทาน “ห้องตรวจเชื้อ” 20 โรงพยาบาล

ภายหลังจากการตั้งการ์ดป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ในประเทศตลอด 3 เดือนอย่างเข้มข้นด้วยการประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน ด้วยการล็อกดาวน์ประเทศ แต่ด้วยความร่วมมืออย่างดีของประชาชน ทำให้ประเทศไทยไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจหลายแห่งยังมีความตึงเครียด และพบผู้ติดเชื้อบ้างเป็นระยะ รัฐบาลจึงเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4 เพื่อเข้าสู่ระยะที่ 5 ในลำดับต่อไป

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนและยารักษามากำราบเชื้อโควิด-19 อย่างถาวร แต่ถือว่าการระบาดรอบแรก “ไทยชนะ” และก้าวผ่านสถานการณ์ครั้งนี้มาได้อย่างงดงาม ซึ่งนอกจากประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ตั้งแต่การ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” และการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด ผู้ที่มีบทบาทสำคัญอีกหนึ่งกลุ่ม คือ “บุคลากรทางการแพทย์” กองทัพแนวหน้า ที่รับหน้าที่ดูแลรักษาชีวิตผู้ป่วยจนทำให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างต่อเนื่อง

ผลเช่นนี้จึงทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทาน “ห้องตรวจหาเชื้อ(Modular Swab Unit)” พัฒนาโดยเอสซีจี อันเป็นหนึ่งใน “โครงการเครื่องช่วยหายใจและเครื่องมือแพทย์พระราชทาน” เพื่อรับสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ 20 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเสริมความพร้อมหากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซ้ำในอนาคต จนทำให้เกิดความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พลังใจให้แก่แพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และประชาชนทุกหมู่เหล่าเพื่อร่วมสู้กับมหันตภัยไวรัสครั้งนี้


“วรพันธุ์ สุวัณณุสส์” ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า รพ.สมเด็จพระยุพราช รองรับผู้ป่วยที่มีอาการโควิด-19 ในจังหวัด และอรัญประเทศ เนื่องจากทำเลและที่ตั้งของ รพ.อยู่ในเขตชายแดน จึงเป็นชัยภูมิที่ต้องรองรับผู้เข้า-ออกภายในประเทศค่อนข้างมาก

“เนื่องจากมีแรงงานทั้งไทย และกัมพูชา มาใช้บริการจำนวนมาก ดังนั้น ห้องตรวจหาเชื้อที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง รัชกาลที่ 10 และสมเด็จฯพระบรมราชินีครั้งนี้ จึงน่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพ และความรวดเร็วในการปฏิบัติการค้นหาเชื้อ และเฝ้าระวังได้ดียิ่งขึ้น”

“รศ.นพ.เรืองศักดิ์ ลีธนาภรณ์” รองคณบดีฝ่ายโรงพยาบาล และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ กล่าวว่า รพ.ได้เตรียมการรองรับ เเละให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จาก 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักที่ส่งต่อมาจาก 3 จังหวัดชายเเดนใต้ ทั้ง จ.นราธิวาส ปัตตานี เเละยะลา โดยได้ให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ จนทำให้ผู้ป่วยทุกรายรอดชีวิต

“ที่ผ่านมา รพ.ได้เตรียมความพร้อมด้วยการให้ความรู้เรื่องโรคติดเชื้อจัดเตรียมอุปกรณ์ สถานที่การทำงาน เเละซ้อมเเผนเพื่อให้บุคลากรมีความมั่นใจ เป็นสปิริตของทีมงานที่เสียสละเพื่อให้พร้อมต่อการดูเเลประชาชนนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ รพ.ได้รับพระราชทานห้องตรวจหาเชื้อมารักษาคนไข้”

ขณะที่ “นพ.สุชาติ พรเจริญพงศ์” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก กล่าวเสริมว่า รพ.พุทธชินราช พิษณุโลก เป็น รพ.ศูนย์ของเขตภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ที่ดูแลสุขภาพของประชาชนกว่า 3.5 ล้านคน รวมทั้งผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย หาก รพ.ใกล้เคียงไม่สามารถรักษาได้ จะถูกส่งตัวผู้ป่วยมายัง รพ.แห่งนี้ การได้รับพระราชทานเครื่องตรวจหาเชื้อ จึงถือเป็นคุณูปราการอย่างสูงกับประชาชนในพื้นที่ให้ได้คลายกังวลความเสี่ยงจากการติดเชื้อ

“ชาวจังหวัดพิษณุโลก เมื่อทราบข่าวที่ทั้ง 2 พระองค์ได้พระราชทานห้องตรวจหาเชื้อ รวมทั้งอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ ต่างรู้สึกปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และจะนำเครื่องมือแพทย์พระราชทานไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพของประชาชน”

ทั้งนั้นเพราะเทคโนโลยีของ SCG HEIM และ Living Solution ของเอสซีจีที่นำมาใช้พัฒนา “ห้องตรวจหาเชื้อ” ทำให้มีระบบที่ช่วยควบคุมแรงดัน และการหมุนเวียนของอากาศให้สะอาด ปลอดภัย และป้องกันอากาศรั่วไหล ป้องกันอากาศเข้า-ออกตัวอาคาร จึงสร้างความมั่นใจให้กับแพทย์ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้มากขึ้น

โดยทีมแพทย์จะอยู่ในห้องที่ไม่มีอากาศเสียจากภายนอกเข้าไป อากาศภายในจึงบริสุทธิ์ปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงติดเชื้อจะอยู่ในห้องที่ป้องกันไม่ให้มีอากาศฟุ้งกระจายออกไปภายนอก พร้อมใช้แสงยูวีเข้มข้นสูงฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ (UV Germicide) หลังการใช้งานห้องทุกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจอีกระดับ

“พญ.เปี่ยมลาภ แสงสายัณห์” แพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมสาขาอายุรกรรม สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ยอมรับว่าการดูแลรักษาคนไข้โควิด-19 ถือเป็นความเครียดของบุคลากรในระดับหนึ่ง เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่แม้แต่แพทย์ยังไม่รู้จักเชื้อโรคนี้ดีพอ ห้องตรวจหาเชื้อพระราชทานทำให้เราลดความกังวล ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไปได้มาก เพราะห้องนี้มีการปรับระดับความดันที่แตกต่าง คนไข้ก็มั่นใจ และได้รับประโยชน์อย่างมาก

จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างช่วยนำทาง และปกแผ่คุ้มครองราษฎรของพระองค์ ในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ให้สามารถก้าวข้ามสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้โดยผ่านนวัตกรรม “ห้องตรวจหาเชื้อ” ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณูปการต่อการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ

นอกจากนั้น พระเมตตาของทั้ง 2 พระองค์ยังถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักคิด นักวิทยาศาสตร์ไทย ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยภูมิปัญญาไทย ซึ่งช่วยยกระดับวงการสาธารณสุขของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ด้วยพระบารมีและความร่วมมือของคนไทย อันจะเกิดเป็นพลังที่สามารถพลิกฟื้นประเทศให้ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปได้ในเร็ววัน