2 ปีช่วยค่าพลังงาน 2 แสนล้านฝ่าโควิด

ค่าไฟฟ้า

หลังจากที่ประชาชนต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มาเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 ทั้งยังต้องเผชิญกับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้รัฐบาลได้ออกมาตรการพลังงานช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนอย่างต่อเนื่อง

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพด้านพลังงาน ในช่วง 2 ปี ครอบคลุมพลังงานหลักทั้ง 4 รายการ คือ น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และ NGV ใช้งบประมาณไปกว่า 242,200 ล้านบาท (2563-ก.ย. 2565)

โดยใช้วงเงิน 97,377 ล้านบาท ช่วยเรื่องราคาน้ำมัน คือ การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 30 บาท/ลิตร (ต.ค. 2564-เม.ย. 2565) พร้อมทั้งอุดหนุน 50% ส่วนที่เกิน 35 บาท/ลิตร

ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงานปัจจุบันเหลือถึงปี 2566 ที่ 2,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการปรับลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลเหลือ B5 เป็นเวลา 1 ปีกว่า

ขณะที่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันได้คงค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มดีเซลไม่ให้เกิน 1.40 บาท/ลิตร นอกจากนี้รัฐยังปรับลดภาษีสรรพสามิต และช่วยเหลือกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีใบอนุญาต 200 บาท

วงเงินช่วยเหลือเรื่องค่าไฟ 101,035 ล้านบาท รัฐได้ปรับลดและตรึงค่า Ft ให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด พร้อมทั้งลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนและกิจการขนาดเล็ก ตอนช่วงโควิดทำงานที่บ้าน (WFH) รวม 22 ล้านราย ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราไฟฟ้าต่ำสุด และคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวม 8 ล้านราย

วงเงินช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้ม 36,875 ล้านบาท ด้วยการตรึงราคาขายปลีกนานกว่า 2 ปี และทยอยขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 ช่วยผู้มีรายได้น้อย 4 ล้านคน ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากเดิม 45 บาท/คน/3 เดือน เพิ่มเป็น 100 บาท/คน/3 เดือน และ ปตท.ยังขยายระยะเวลาช่วยส่วนลดราคา LPG กลุ่มร้านค้า หาบแร่ แผงลอย

ส่วนวงเงินช่วยเหลือด้าน NGV 6,913 ล้านบาทนั้น รัฐได้ตรึงราคาขายปลีกให้กับรถทั่วไป รถสาธารณะ และรถแท็กซี่ภายใต้โครงการ NGV เพื่อลมหายใจเดียวกัน

สำหรับสิ่งที่กระทรวงพลังงานจะดำเนินการต่อในไตรมาส 4/65 ต่อเนื่องไปต้นปี ม.ค. 2566 คือ ถ้า LNG สูงเกินกว่า 25 เหรียญ จะใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาทดแทน สำหรับโรงไฟฟ้า กฟผ. และเอกชนที่สามารถใช้น้ำมันแทนก๊าซได้ เพื่อที่จะตรึงค่า Ft ไว้ไม่ให้เป็นภาระมากเกินกว่า 4.72 บาท/หน่วย และเมื่อเข้าหน้าหนาวคนจะใช้ไฟน้อยลง ดีมานด์ก็จะลดลง อาจส่งผลให้ค่า Ft ในรอบถัด ๆ ไปไม่สูงมากขึ้น