พิธาวืดนายกฯ โหวตรอบแรก นักวิชาการ ชำแหละผลต่อเศรษฐกิจ หากตั้งรัฐบาลล่าช้า ไทยเสี่ยงเสียโอกาสดึงลงทุนท่ามกลางโอกาส Geopolitic หวั่นงบประมาณปี’67 ลากยาว
วันที่ 14 กรกฎาคม 2566 หลังจากผลโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จบลงเมื่อวานนี้ โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกลแพ้โหวต ซึ่งทำให้ต้องมาดำเนินการโหวตอีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. 66
- เปิด 20 อันดับมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นด้านวิศวกรรมศาสตร์
- กรุงไทย ปิดระบบ-แอป Next 11-12 และ 14 พ.ค. นี้ เช็กรายละเอียด
- เปิดทรัพย์สิน-งบการเงิน “มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล” ย้อนหลัง 5 ปี
รศ.ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ไทยควรมีรัฐบาลให้เร็วที่สุด แทนที่จะปล่อยเป็นสุญญากาศ เพราะท่ามกลางกระแส Geopolitics กำลังเกิด และปัญหาจากระบบของจีน ทำให้บริษัทจำนวนหนึ่ง รวมทั้งแรงงานฝีมือต้องย้ายฐานออกจากจีน เพื่อหาฐานใหม่ที่ปลอดภัย ซึ่งแต่ละประเทศต่างแย่งชิงเม็ดเงินลงทุนและแรงงานเหล่านี้ หากไทยล่าช้าจะมีค่าเสียโอกาสเกิดขึ้น
“ต่างชาติ โดยเฉพาะคนที่ไม่คุ้นเคยกับไทย เขามองไปที่ตัวระบบมากกว่า เพราะเขาไม่รู้จักใครในไทยมากนัก ระบบต้องโปร่งใส และอยู่ในวิสัยที่คาดเดาได้ เช่น เงินเข้าไม่สูญจากปัญหาการเมือง รัฐไม่เข้ามายึดกิจการ แม้อาจมีความไม่พอใจจากการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าใครตั้งรัฐบาล แต่สิ่งที่ต้องบริหารจัดการต้องอย่าให้กระทบกับการเดินหน้าทางธุรกิจ”
ปมค่าแรงกระทบทั้งระบบ
ส่วนประเด็นค่าแรงขั้นต่ำที่จะพยายามจะปรับขึ้น เป็นสัญญาของเกือบทุกพรรคที่มีศักยภาพจัดตั้งรัฐบาลนั้น สิ่งที่ต้องคิดและตระหนักคือ มูลเหตุพื้นฐานที่เราจะปรับค่าแรงขั้นต่ำ คือช่วยให้แรงงานระดับล่างมีเงินที่เพียงพอกับค่าครองชีพ ในความเป็นจริงไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน (นั่นคือเหตุที่เราต้องไปใช้คนงานจากประเทศเพื่อนบ้าน) และค่าแรงที่จ่ายจริง ๆ อาจไม่ได้อยู่ที่ค่าแรงขั้นต่ำ สิ่งที่เอกชนกังวลคือ เมื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำจะสร้างแรงกระเพื่อมไปยังแรงงานระดับอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น โจทย์นี้น่าจะคิดถึงการใช้ช่องทางอื่น ๆ เพื่อขึ้นค่าแรง โดยไม่กระเพื่อมทั้งระบบ
ความกังวลเรื่องงบฯ
อีกสิ่งที่น่ากังวลคือ ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เกิดการใช้จ่ายเงินงบประมาณล่าช้าออกไป เรื่องเหล่านี้คงต้องเตรียมบริหารจัดการให้เหมาะสม แต่ผมคิดว่าไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับรัฐ และจะได้รับผลกระทบจากความล่าช้าดังกล่าว
ส่วนประเด็นการใช้งบการเงินฐานศูนย์ (Set zero) ส่วนตัวคิดว่าแม้เป็นเรื่องดี แต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการทำให้เกิดผล ที่สำคัญการลงมือทำจริงน่าจะมีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน ในระยะสั้น ดังนั้น จึงคิดว่า Set zero น่าจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจที่จำกัด งบประมาณรัฐบาลจำนวนมากเป็นรายจ่ายประจำ (75% ใช้ข้อมูลปีงบประมาณ 2566) ซึ่งคงไม่สามารถ set zero ได้
ส่วนที่น่าจะทำได้ คืองบลงทุน แต่ก็คงเป็นเรื่องยากมาก ๆ (จนถึงเป็นไปไม่ได้) ที่รัฐบาลไหนจะยกเลิกโครงการลงทุนเดิมทิ้งทั้งหมด ดังนั้น ส่วนที่จะ set zero ได้จริงก็คงมีอยู่เพียงจำนวนหนึ่ง ดังนั้น ผลในระยะสั้นต่อเศรษฐกิจโดยรวมจึงน่าจะมีจำกัด
ในระยะปานกลาง คงเป็นเรื่องที่คาดเดายากมาก เพราะการ Set zero ที่จะเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ต้องครอบคลุมงบประมาณมากพอ (เกือบทั้งหมดของงบลงทุน) แต่ด้วยระยะเวลาทำงานของรัฐบาลหนึ่งเพียงแค่ 4 ปี และโครงการลงทุนของรัฐที่ผ่านมาที่ส่วนมากเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน จึงน่าจะเป็นเรื่องท้าทายพอสมควร
เดินหน้าคุมทุนผูกขาดต่อ
รศ.ดร.อาชนันยังหวังว่าจะมีการสานต่อเรื่องการควบคุมทุนผูกขาด เพราะเป็นประเด็นหนึ่งที่ประชาชนคาดหวังกับรัฐบาลใหม่ ว่าจะมีการจัดการไม่มากก็น้อย น่าจะทำให้คะแนนนิยมปรับเพิ่มขึ้นได้
“ส่วนการจัดการม็อบที่อาจจะกระทบมู้ดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ผมเชื่อว่าผลที่จะมีไม่น่าจะมากมาย หากไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง ส่วนที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ถ้าทำได้ดีน่าจะแต้มบวก ว่าเราสามารถเอาปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ในขอบเขต ผลกระทบจะไม่มากนัก”