ปรับเงินเดือนข้าราชการ สนค.ชี้กำลังซื้อเพิ่ม-กระทบเงินเฟ้อน้อย

สนค.ชี้การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการส่งผลดีต่อกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบต่อเงินเฟ้อของประเทศน้อยมาก อีกทั้งไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการที่จะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยสนับสนุนทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต

วันที่ 8 มกราคม 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า สำหรับ “ผลกระทบของการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทย” เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบจากนโยบายทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยน้อยมาก เนื่องจากจำนวนบุคลากรภาครัฐที่ได้รับผลจากนโยบายมีสัดส่วนเพียง 4.7% ของลูกจ้างชาวไทยทั้งหมด ประกอบกับหน่วยงานราชการภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน และให้บริการประชาชน มิได้แสวงหากำไร

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

ดังนั้น การส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวมายังค่าบริการของภาครัฐจึงทำได้จำกัด และเมื่อพิจารณาข้อมูลในปี 2558 ซึ่งมีการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการเช่นกัน ก็มิได้ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของบุคลากรเหล่านี้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ มีคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบราชการไทยต่อไป

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเสนอ โดยมีแนวทางสำคัญคือ การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาให้มีความเหมาะสม การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ที่มีฐานเงินเดือนต่ำ และปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการ

แนวทางปรับเงินเดือน

โดยมีแนวทางการปรับอัตราเงินเดือนที่อ้างอิงจากปี 2555 ที่มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน และปรับเพิ่มเงินเดือนระดับปริญญาตรีที่บรรจุแรกเข้าเป็น 15,000 บาท/เดือน ดังนี้

1.การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท/เดือน และผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับ ปวช. จะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 11,000 บาท โดยจะทยอยปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิเพิ่มขึ้น (ทุกคุณวุฒิ) และแตกต่างกันตามระดับคุณวุฒิการศึกษา ภายใน 2 ปี โดยเฉลี่ยจะปรับร้อยละ 10 ต่อปี (เริ่ม 1 พ.ค. 67 และ 1 พ.ค. 68)

2.การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ โดยจะชดเชย 2 ครั้ง พร้อมกับปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ 1 และปีที่ 2 เฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี เช่นเดียวกับเงินเดือนผู้แรกเข้า ครอบคลุมผู้เข้ารับราชการก่อนวันที่อัตราแรกบรรจุที่กำหนดใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย 10 ปี ซึ่งจำนวนเงินเดือนที่ขึ้นจะแบ่งเป็นช่วง ๆ ตามเงินเดือน

3.การปรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็นมาตรการที่มีอยู่แล้ว แต่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมมากขึ้น เช่น ข้าราชการที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 13,285 บาท/เดือน เดิมได้รับค่าครองชีพชั่วคราวเพิ่ม 2,000 บาท/เดือน แต่ไม่เกิน 13,285 บาท/เดือน โดยจะปรับเพดานใหม่เป็นข้าราชการที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 14,600 บาท/เดือน จะได้ค่าครองชีพชั่วคราวเพิ่ม 2,000 บาท แต่ไม่เกิน 14,600 บาท/เดือน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน เดิมได้ค่าครองชีพชั่วคราวเพิ่มไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน โดยจะปรับเพดานใหม่ให้ได้ค่าครองชีพชั่วคราวเพิ่มไม่เกินเดือนละ 11,000 บาท/เดือน

ไม่กระทบต้นทุนสินค้า

สำหรับการปรับอัตราเงินเดือนของกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว สนค.คาดการณ์เบื้องต้นว่านโยบายนี้จะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ และอุปสงค์ที่ผ่านมายังคงอัตราเงินเฟ้อของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยหน่วยงานราชการเป็นสถานประกอบการที่ภาครัฐจัดตั้งขึ้น เพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกันและให้บริการประชาชน มิได้แสวงหากำไร

ต้นทุนหรืองบประมาณ รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน เหตุผลดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการขึ้นค่าบริการของหน่วยงานภาครัฐที่จะส่งผ่านมายังภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แม้กลุ่มบุคลากรภาครัฐที่คาดว่าจะได้รับผลจากนโยบาย จะมีสัดส่วนประมาณ 27.8% ของบุคลากรภาครัฐทั้งหมด

ขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบจำนวนข้าราชการที่คาดว่าจะได้รับผลจากนโยบายกับผู้มีรายได้กลุ่มอื่น พบว่ามีสัดส่วนเพียงประมาณ 4.7% เมื่อเทียบกับจำนวนลูกจ้างชาวไทย และ 2.2% เมื่อเทียบกับผู้มีงานทำชาวไทย (อาทิ นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ทำงานส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง) ทั้งหมด ทำให้ขนาดกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าวมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำมาก หากเทียบกับกำลังซื้อของลูกจ้าง หรือผู้มีงานทำกลุ่มอื่นที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้ที่สูงขึ้นตามผลการดำเนินงาน ระยะเวลาการทำงาน ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์

ด้วยเหตุผลข้างต้น กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจึงไม่น่าส่งผลต่อระดับราคาสินค้าและบริการและอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งเมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อในช่วงระยะเวลาที่มีนโยบายปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ เห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวตามปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น มากกว่าผลของนโยบายปรับค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ อาทิ การดำเนินมาตรการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2557 ซึ่งรัฐบาลปรับเงินเดือนข้าราชการเพิ่ม 1 ขั้น

สำหรับระบบเงินเดือนแบบขั้น หรือ 4.0% ของอัตราเงินเดือน สำหรับระบบเงินเดือนแบบช่วง รวมถึงปรับค่าตอบแทนพนักงานราชการโดยการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว และปรับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 4% ในพนักงานราชการบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 กลับลดลง 0.9% (AOA) เมื่อเทียบกับปี 2557 เนื่องด้วยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกในประเทศลดลง

สรุปผลขึ้นเงินเดือน

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า “การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยน้อยมาก เนื่องจากหน่วยงานราชการภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน และให้บริการประชาชน มิได้แสวงหากำไร ต้นทุนหรืองบประมาณรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการขึ้นค่าบริการของหน่วยงานภาครัฐที่จะส่งผ่านมายังภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน

ประกอบกับจำนวนบุคลากรรัฐที่ได้รับผลจากนโยบายมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนลูกจ้างชาวไทย หรือผู้มีงานทำชาวไทย การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าว อย่างน้อยจะส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต แต่จะไม่ส่งผลต่อระดับราคาสินค้าและบริการและอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ”

นายพูนพงษ์กล่าวอีกว่า การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มรายได้และกำลังซื้อ ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของบุคลากรเหล่านี้ โดยเฉพาะผู้ที่บรรจุในคุณวุฒิที่ไม่สูงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

รวมทั้งเป็นการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ มีคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการปฏิบัติงานของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังเรื่องการฉวยโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการที่ไม่สมเหตุผล รวมถึงจะต้องติดตามสถานการณ์การปรับขึ้นค่าบริการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมสถาบันการศึกษาของเอกชน ค่าบริการทางการแพทย์/ค่าการตรวจรักษาสถานพยาบาลเอกชนอย่างใกล้ชิดต่อไป