ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำสถิติยอดขายไตรมาสที่ 4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 36,012 ล้านบาท

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำสถิติยอดขายไตรมาสที่ 4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 36,012 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น แต่บาทแข็งทุบกำไรปี’61 หด ปี’62ตั้งเป้าเพิ่มยอดขาย 5 % เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 15 %

ผู้สื่อข่าว”ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562, กรุงเทพฯ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2561 ว่ามียอดขาย จำนวน 36,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7 % เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้า เป็นกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในรอบสองปี ธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็น  และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มีการปรับราคาและปรับปรุงการดำเนินงาน มีส่วนในยอดขายที่เพิ่มขึ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ขณะที่ยอดขายปี 2561 ลดลง 1.2 % จากปีก่อนหน้า มาเป็น 133,285 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น   หากไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ยอดขายปี 2561 จะเพิ่มขึ้น 0.5 %  กำไรขั้นต้นในปี 2561 ลดลง 2.2 %  เนื่องจากราคาปลาทูน่าและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความผันผวนในช่วงไตรมาสแรกของปี

ในปี 2561 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ 10.7 % มีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง 1.2 %เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตรากระแสเงินสดอิสระอยู่ที่ 8,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อนหน้า มีผลทำให้บริษัทสามารถชำระหนี้คืนได้ 3,506 ล้านบาท

“ปีที่ผ่านมามีสภาวะตลาดที่ท้าทาย แต่เราก็ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่เป็นเลิศและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร  ผลงานที่ดีในไตรมาสที่ 4 นี้ทำให้เรามั่นใจว่าปี 2562 นี้ ไทยยูเนี่ยน จะต้องแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้นแน่นอน โดยปีนี้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายปกติขึ้น 5 % และเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 15 %  บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมต่อไป เพื่อรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้อยู่ที่ระดับ 10  %  ซึ่งจะส่งผลให้กำไรฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้”

ไทยยูเนี่ยน ประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.15 บาทต่อหุ้น รวมการจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2561 อยู่ที่ 0.40 บาทต่อหุ้น

สำหรับปี 2561 ยอดขายในอเมริกาเหนือยังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 39 %ของยอดขายรวม ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30 % ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นคิดเป็น 11 % และตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกาและอเมริกาใต้ คิดเป็น 20 %

อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังคงดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืน หรือ SeaChange® อย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา และได้ร่วมมือในโครงการ Global Ghost Gear Initiative เพื่อลดปัญหาการทิ้งอุปกรณ์จับปลาในท้องทะเลทั่วโลก

ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดเผยรายงานความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม สืบเนื่องจากข้อตกลงกับกรีนพีซในปี 2560 ในการตั้งมาตรการในการจัดการกับปัญหาประมงผิดกฎหมายและการทำประมงที่มากเกินกำลังผลิตของสัตว์น้ำ  โดยได้เปิดเผยรายงานความก้าวหน้าประจำปีพันธกิจการจัดการปลาทูน่าแบบยั่งยืนครั้งแรกต่อสาธารณะ เกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่าทั้งหมดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์แบรนด์ของบริษัท ต้องมาจากการทำประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1ของโลกในหมวดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์หรือ DJSI  และได้คะแนนสูงสุดในหัวข้อความยั่งยืนโดยรวม   โดยได้รับเลือกให้ติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์นี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจที่มีกิจการทั่วโลกด้วยความยั่งยืน


นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้รับคัดเลือกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ให้ติดอันดับในดัชนี FTSE4Good หมวดตลาดเกิดใหม่  ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ได้แก่ รางวัล Stop Slavery Award จากมูลนิธิธอมป์สัน รอยเตอร์ส  รางวัลเหรียญทอง ประเภท “การจัดการห่วงโซ่อุปทานยอดเยี่ยม” จากงาน Global Good Awards ประจำปี 2561  รางวัลด้านความยั่งยืนประจำปีจาก The Business Intelligence Group และรางวัลความรับผิดชอบต่อสังคมยอดเยี่ยมจาก FinanceAsia  นอกจากนี้ ดร.แดเรียน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งปี จาก EDIE