BANPU เปิดตัว “บ้านปู เน็กซ์” รุกพลังงานสะอาด ตั้งเป้า 1,600 เมกะวัตต์ ในปี 68 พร้อมนำเข้าตลาดจังหวะเหมาะสม

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทได้เปิดตัวบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (BANPU NEXT) เพื่อเดินหน้าสร้างการเติบโตของธุรกิจพลังงานสะอาด โดยมุ่งลงทุนและพัฒนาโครงการด้านธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน อาทิ การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน การให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การออกแบบและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบจัดการเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมทัพสมาร์ทโซลูชันด้านพลังงานอย่างครบวงจร

ทั้งนี้ บริษัทเกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำกัด (BPIN) และบริษัท บ้านปู รีนิวเอเบิล เอนเนอร์จี จำกัด (BRE) โดยบ้านปูฯ และบ้านปู เพาเวอร์ฯ จะร่วมถือหุ้นใน บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ 50% โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นในเดือนก.พ. 2563 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จากเดิมที่มีกำลังการผลิตอยู่แล้ว 406.7 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 1,623 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

“ทุนจดทะเบียนของบ้านปู เน็กซ์ อยู่ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูง ในอนาคตต้องดูถึงระยะเวลาและความเหมาะสมก่อนหากจะนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้จะสร้างความเชื่อมั่นว่า บ้านปูฯ ตอบโจทย์เรื่องการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจ เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์โลก การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นและการสร้างคุณค่าต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม” นางสมฤดี กล่าว

สำหรับการดำเนินงานของบ้านปู เน็กซ์ว่า ได้ตั้งเป้า ภายในปี 2568 จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานในด้านต่าง ๆ มากขึ้นได้แก่ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์) ที่ปัจจุบันมีอยู่ 300 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 1,100 เมกะวัตต์ การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ บนหลังคา (รูฟท็อป) จากเดิมที่มีอยู่ 100 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ การเพิ่มกำลังการผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน(เอนเนอร์ยี่ สตอเรจ) จาก 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง เป็น 3 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง เพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(อีวี) ตามแผนดำเนินงานของบริษัท ฟอมม์ คอร์ปอเรชั่น ที่บ้านปูถือหุ้นอยู่ 21.5% ทั้งสิ้น 34,000 คัน เพิ่มตึกและอาคารอัจฉริยะจาก 4 โครงการเป็น 9 โครงการ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ว่ามีผลการดำเนินงานขาดทุนกว่า 105.96 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 104% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาถ่านหินที่ลดต่ำลง รวมถึงก๊าซธรรมชาติที่ผันผวน ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 896 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 83%

โดยจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลกระทบอย่างหนักให้กับบริษัท ซึ่งคาดว่า ไตรมาส 4 จะกลับมามีกำไรเพิ่มขึ้นมาเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวของหลายพื้นที่โดยเฉพาะจีน จะส่งผลให้การใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นด้วย