คอลัมน์ Market Move
ปกติแล้วญี่ปุ่นมักจะเป็นฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีและโนว์ฮาวด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเมื่อเข้าไปลงทุนตั้งฐานการผลิตสินค้าหรือบริการในต่างประเทศ แต่ล่าสุดมิตซูบิชิได้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ในไทยหวังเรียนรู้โนว์ฮาวด้านการแปรรูปสินค้าเนื้อสัตว์เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจของตนเอง รวมถึงผลิตสินค้าป้อนตลาดญี่ปุ่นที่ดีมานด์กำลังพุ่งสูงต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กัน
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า “มิตซูบิชิ คอร์ป” บริษัทขายส่งในเครือมิตซูบิชิยักษ์อุตสาหกรรมสัญชาติญี่ปุ่นได้จับมือกับ “เบทาโกร” ยักษ์อุตสาหกรรมอาหารของไทยและ “อิโตแฮม โยเนะคิว โฮลดิ้ง” (Itoham Yonekyu Holdings) พันธมิตรจากญี่ปุ่นอีกรายซึ่งเป็นคู่ค้ากับมิตซูบิชิฯมานาน ตั้งโรงงานแปรรูปเนื้อไก่กำลังผลิต 30,000 ตันต่อปี ใกล้กับโรงงานต้มไก่ของเบทาโกร
ซึ่งเป็นแหล่งซัพพลายหลัก ในสวนอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี มีกำหนดเดินเครื่องจักรช่วงเดือน ต.ค. ปีนี้
การลงทุนมูลค่า 6,000 ล้านเยน หรือประมาณ 1,720 ล้านบาทครั้งนี้ มิตซูบิชิฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 50% ส่วนเบทาโกรและอิโตแฮม โยเนะคิว โฮลดิ้งถือหุ้นบริษัทละ 25%
ขณะเดียวกันมิตซูบิชิฯยังถือหุ้นอีก 25% ในโรงงานต้มไก่ของเบทาโกรที่ตั้งอยู่ติดกันอีกด้วย
โดยเป้าหมายในการตั้งโรงงานแห่งนี้เพื่อผลิตเนื้อไก่แปรรูปป้อนให้กับธุรกิจอาหารในญี่ปุ่น รับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกันจนมาอยู่ที่ 2.36 ล้านตันต่อปีจากเทรนด์สุขภาพ
ซึ่งกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมากินเนื้อไก่ เพราะเป็นมิตรกับสุขภาพมากกว่าหมูและวัว ส่งผลให้ญี่ปุ่นนำเข้าเนื้อไก่จากไทยเพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลักมาตั้งแต่ปีงบฯ 2559
ทางบริษัทจึงตัดสินใจเดินแผนรวมฐานการผลิต-แปรรูปเนื้อไก่เอาไว้ในไทยเพื่ออาศัยความได้เปรียบในการเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แรงงานราคาถูกและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะเดียวกันยักษ์ค้าส่งจากแดนปลาดิบรายนี้ยังเล็งคว้าโนว์ฮาวด้านการแปรรูปไก่จากไทยซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจที่มีในมือ
ทั้งร้านสะดวกซื้อลอว์สันที่มีไก่ทอดและสินค้าจากเนื้อไก่รูปแบบอื่น ๆ เป็นสินค้าเด่น และช่องทางค้าปลีกอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและผู้ประกอบการแปรรูปอาหาร
รวมถึงมีหุ้นในเคเอฟซี โฮลดิ้งเจแปน ผู้บริหารเชนร้านเคเอฟซีในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
การได้โนว์ฮาวนี้จึงช่วยเสริมแกร่งทั้งตลาดบ้านเกิดและเพิ่มศักยภาพธุรกิจในตลาดยุโรปและตะวันออกกลางไปพร้อมกัน
ทั้งนี้เมื่อเดือน พ.ย. มิตซูบิชิคอร์ปได้ปรับคาดการณ์รายได้ของปีงบฯ 2560 ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2561 โดยเพิ่มกำไรสุทธิเป็น 500,000 ล้านเยน สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 14% จากปัจจัยบวกหลายด้าน
โดยเฉพาะราคาสินค้าอย่าง โลหะต่าง ๆ ที่ปรับสูงขึ้นและกำลังซื้อจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของจีน
ผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นนี้ยังทำสถิติสูงสุดตลอดกาลของบริษัท ลบสถิติเดิมเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งมีกำไร 471,000 ล้านเยน เมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังบูมจากการเติบโตของประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่งก่อนจะเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจในเวลาต่อมา
การลงทุนนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งความพยายามที่จะขยายฐานออกสู่ต่างประเทศ หลังจากจับมือ “ยามาซากิ เบกกิ้ง” ตั้งโรงงานเบเกอรี่ในอินโดนีเซียเพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดในประเทศ
ช่วยให้มิตซูบิชิมีตลาดส่งออกมาชดเชยกับอัตราบริโภคในญี่ปุ่นที่ลดลงต่อเนื่อง
ต้องรอดูกันว่า การทุ่มลงทุนของมิตซูบิชิคอร์ปในครั้งนี้จะสามารถดูดซับองค์ความรู้ด้านการแปรรูปเนื้อไก่ได้ตามที่หวังไว้หรือไม่
และจะสามารถนำโนว์ฮาวที่ได้กลับไปสร้างความได้เปรียบในตลาดบ้านเกิดได้มากแค่ไหน