พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) เผยมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ในมือกว่า 2.3 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ ต้นปี 2566 จ่อบุ๊กรายได้โรงงานในกัมพูชา หนุนผลงานโตกระฉูด
วันที่ 21 ตุลาคม 2565 นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (PCC) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
โดยบริษัทถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจที่เน้นระบบส่งและจำหน่าย Smart Grid ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมไฟฟ้า จากการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทยของการไฟฟ้า ซึ่งมีแผนการลงทุน (2558-2579) เกือบ 2 แสนล้านบาท
ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่กว่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ใน 2565-2566 พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายอีก 3 เท่า หรือคิดเป็นกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,080 MVA ต่อปี ภายในปี 2567 และเพิ่มกำลังการผลิตตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า จากกำลังการผลิตประมาณ 2,000 ถังต่อปี เพิ่มเป็นประมาณ 7,500 ถังต่อปี
และเพิ่มกำลังการผลิตตู้โลหะสำหรับตู้สวิตช์เกียร์ และตู้สวิตช์บอร์ด อุปกรณ์ควบคุม จากกำลังการผลิตประมาณ 2,000 ตู้ต่อปี เพิ่มเป็นประมาณ 3,200 ตู้ต่อปี ส่วนโครงการโรงงานผลิตหม้อแปลง และตู้ควบคุมไฟฟ้า ในประเทศกัมพูชา คาดว่าเริ่มผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ในต้นปี 2566 โดยทำให้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกัมพูชาเข้ามาตั้งแต่ปีหน้า
“ผมขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้การตอบรับหุ้น PCC เป็นอย่างดี ผมในฐานะผู้นำขององค์กรได้ทำงานอยู่ในธุรกิจนี้มาเกือบ 40 ปี มีความเชื่อมั่นในธุรกิจ Smart Grid Technology Platform ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบสาธารณูปโภคพลังงานไฟฟ้าของประเทศและได้มีพันธะสัญญาระหว่างประเทศในโลกตามกฎเกณฑ์เรื่องแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ผมเชื่อมั่นว่าเรามีความพร้อมในทางวิศวกรรมที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและขยายธุรกิจให้มีศักยภาพการเติบโตต่อไปข้างหน้า และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปได้ในอนาคต” นายกิตติกล่าว
ด้าน นายปาลธรรม เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส วาณิชธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกของ PCC ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง โดยเม็ดเงินที่ได้จากการเสนอขายไอพีโอในครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และโครงการในอนาคตอื่น อาทิ โครงการศูนย์การขายและการตลาด (Group Integration Sale & Marketing Center) เพื่อขยายยอดขายของกลุ่มบริษัท เนื่องจากบริษัทเพิ่ม scale ของการผลิตในสินค้าเดิมและขยายสินค้าใหม่
โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2567 นอกจากนี้ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานและชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีฐานทุนรองรับธุรกิจ ให้สามารถเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
นางสาววีรยา ศรีวัฒนะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เชื่อว่า PCC จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตจากแผนลงทุนของการไฟฟ้า จากการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทยของการไฟฟ้า ซึ่งมีแผนการลงทุน (2558-2579) เกือบ 2 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ มองว่า PCC เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่นคงทางด้านรายได้ ซึ่งบริษัทสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอทั้งในส่วนการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้า งานรับเหมาก่อสร้าง และจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และมี Backlog ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนต่าง ๆ และการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานกัมพูชา