คลัง ชี้ “ส่งออก-บริโภคเอกชน-ท่องเที่ยว” หนุนเศรษฐกิจไทยเดือนพ.ย.ขยายตัว

ส่งออก
ภาพจาก AFP

คลังเผยภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.ได้แรงหนุนจาก “ส่งออกสินค้า-บริโภคภาคเอกชน-ท่องเที่ยว” ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ

วันที่ 28 ธันวาคม 2566 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2566 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า การบริโภคภาคเอกชน ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน : โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 21.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 0.2 บ่งชี้ว่าการบริโภคสินค้าคงทนปรับตัวดีขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่

ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 3.1 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายน 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60.9 จากระดับ 60.2 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และสูงสุดในรอบ 45 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่และรายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -3.6 และ -3.1 ตามลำดับ

ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน : โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนในเดือนพฤศจิกายน 2566 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 24.6 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 13.3 ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์

ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -46.2 สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -0.3 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -2.4 ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -1.2 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -5.9

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน : โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 23,479.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.9 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า

เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 4.0 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 42.2, 40.5 และ 24.8 ตามลำดับ นอกจากนี้ สินค้าข้าว ผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผักกระป๋องและผักแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหารขยายตัวร้อยละ 67.9, 29.8, 26.6 และ 21.6 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและน้ำตาลทรายชะลอตัว

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่าปรับตัวดีขึ้นในตลาดสหรัฐ อาเซียน-5 ทวีป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่ขยายตัวร้อยละ 17.5, 12.9, 10.9 และ 4.3 ตามลำดับ รวมทั้งกลุ่มตลาดอื่น ๆ ที่ขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States : CIS) และสวิตเซอร์แลนด์ ที่ขยายตัวร้อยละ 88.4 และ 77.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดจีนและอินเดียลดลง

ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนจากภาคบริการ : โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวมจำนวน 2.64 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 53.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 3.6

โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยในเดือนพฤศจิกายน 2566 จำนวน 21.6 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 13.5 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -20.3

ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2566 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -2.6 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -0.5 จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง และหมวดไม้ผล

อย่างไรก็ดี ผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ อาทิ สุกรและไก่ขยายตัว สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนพฤศจิกายน 2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.9 จากระดับ 88.4 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี : สะท้อน ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ร้อยละ -0.44 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.58 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 62.1 ต่อ GDP

ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ในระดับสูงที่ 249.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่งออก-บริโภคเอกชน-ท่องเที่ยว