ธปท.ยันนโยบายการเงินเดินมา “ไม่ผิดทาง” มองสามารถรองรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ-ไม่เป็นอุปสรรคฉุดรั้ง พร้อมติดตามข้อมูลหลายมิติ ชี้การทำนโยบายการเงินท้าทาย ไม่ถูกต้องเป๊ะ 100% ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์-เสียประโยชน์ แต่พร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน
วันที่ 15 มกราคม 2567 นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงินและเลขาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวภายในงาน “ธปท.เปิดแนวคิดนโยบายแบงก์ชาติ” ถึงคำถามเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) ว่า เป็นความยากลำบากในการดำเนินนโยบายการเงิน เนื่องจากมีผู้เสียประโยชน์และได้ประโยชน์เสมอ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ดูเศรษฐกิจภาพรวมไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ในระยะปานกลางและยาว
- เปิด 20 อันดับมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นด้านวิศวกรรมศาสตร์
- กรุงไทย ปิดระบบ-แอป Next 11-12 และ 14 พ.ค. นี้ เช็กรายละเอียด
- เปิดทรัพย์สิน-งบการเงิน “มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล” ย้อนหลัง 5 ปี
ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่เดินมาถามว่า เดินมา “ผิดทาง” หรือ “ผิดพลาด” หรือไม่ ตอบได้ว่า “ไม่” ไม่ได้เดินมาผิดพลาด เนื่องจาก 1.กนง.ได้คิดนโยบายให้สามารถรองรับได้หลายกรณี เช่น กรณีแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท ที่ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างเยอะ แต่ดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมาในช่วง 2 ครั้งล่าสุดอยู่ 2.25-2.50% ต่อปี แม้ว่าดิจิทัลวอลเลตจะมาช้าหรือเร็วกว่าที่คาด หรือมีการเปลี่ยนแปลง แต่ดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวสามารถรองรับได้ทั้ง 2 กรณีได้
โดยที่เศรษฐกิจที่ยังสามารถอยู่ในขอบเขตที่ใช้ได้ ไม่ได้เป็นตัวหลักว่าเศรษฐกิจจะไปในทางไหน จะขยายตัวแรง หรือฉุดมากขนาดนั้น หรือเป็นพระรองมากกว่าพระเอก อะไรที่แนวนโยบายรวมทำให้เศรษฐกิจอยู่ในขอบเขตที่พอไปได้ เงินเฟ้อทั่วไปลดลง แต่เงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะเพิ่มขึ้น ชั่งน้ำหนักปัญหาเชิงโครงสร้างบริบทต่างประเทศ
“กนง.ไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะเปลี่ยนแปลง ว่าเงินเฟ้อที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ต้องดูข้อมูลอย่างใกล้ชิด และดูหลากหลาย มีหลายมิติที่ต้องชั่งน้ำหนักระยะสั้นระยะยาวนโยบายการเงินใช้เวลา ไม่สามารถขึ้น ๆ ลง ๆ ตามภาวะที่เกิดขึ้นได้
และตระหนักดีว่า “ดอกเบี้ย” เป็นราคาที่สำคัญที่สุดราคาหนึ่งในระบบเศรษฐกิจต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ในแง่ภาพเศรษฐกิจศักยภาพของเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันให้ดี เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างต้องช่วยกันหาวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจได้อย่างไร สิ่งที่คาดหวังคือการลงทุนที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นทางนั้น การผลักการลงทุนไม่ใช่เรื่องของต้นทุนทางการเงินแต่เป็นเรื่องของโอกาสที่ธุรกิจมองเห็น”
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ กนง.จะมีการประชุมปลายเดือนนี้ และจะมีการประกาศผลในต้นเดือนหน้า และตลาดการเงินทำงานปกติ ไม่จำเป็นต้องมีการประชุมนัดพิเศษแต่อย่างใด โดยพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจโดยรวมแนวโน้มยังคงมีการฟื้นตัวต่อ แต่สิ่งที่อาจจะผิดคาด คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้เร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากโลกก่อนโควิด-19 และหลังโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ
ดังนั้น กนง.จะดูปัญหาเชิงโครงสร้างจะกระทบต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน ขณะที่เงินเฟ้อโดยรวมยังมาจากปัจจัยเชิงอุปทานและยังคงเห็นอัตราติดลบจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ และทยอยปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในคาดการณ์ 1-2% ภายใต้กรอบเป้าหมาย 1-3% โดยผลที่มาจากเอลนีโญน้อยกว่าเดิม ทำให้เงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รวมถึงวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์จะกลับมาเร็วกว่าที่คาดหวังหรือไม่
“เรารับฟังทุกภาคส่วน และมีการประสานงานกับกระทรวงการคลัง รวมถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองว่านโยบายการเงินไม่ได้เป๊ะ 100% กนง.รับฟังทุกเสียงสะท้อนและนำมาดูว่าสอดคล้องกับสิ่งที่จะควรจะเป็นหรือไม่ บทบาทนโยบายการเงินเหมือนเป็นประตู เป็นกองหลังของทีมฟุตบอล โดยประชาชน-ภาคธุรกิจเป็นกองหน้าที่จะลงสนาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 ช่วงแรกเรายังมีแรงอยู่แต่เมื่อเจอคู่แข่งที่แข็งแรงกว่าที่เราคิดก็เป็นเรื่องยากขึ้น เช่น ผู้ส่งออกที่เจอการแข่งขันที่ยากกว่าเดิม มีกฎระเบียบต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
ซึ่งนโยบายการเงินในฐานะผู้รักษาประตูพยายามสร้างพื้นฐานให้มั่นคง แต่ช่วงโควิด-19 ก็ต้องส่งกองหลังขึ้นไปข้างหน้าด้วย การลดดอกเบี้ยมาก ๆ ช่วงโควิดเหมือนการส่งผู้รักษาประตูไปอยู่ข้างหน้าด้วยก็อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสได้ประตู แต่เป็นการเปิดช่องโหว่ความเสี่ยงไว้ข้างหลัง เหมือนเทหมดหน้าตักไปนิดนึง หน้าที่ธนาคารกลางเป็นผู้รักษาประตู กระทรวงการคลังเป็นโค้ชหรือกัปตัน ส่วนรัฐบาลคือผู้จัดการทีมที่จะปรับโครงสร้างหลาย ๆ อย่างได้กว้างกว่า ซึ่งบทบาทจะเห็นชัดว่าทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดแล้ว การจะทำเกินหน้าที่ต้องพิจารณาว่าจะได้คุ้มเสียหรือไม่”