STEC เค้าลางเริ่มไม่ดี โบรกฯคาดกำไร Q1 ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปี

รถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง

“ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งฯ” เค้าลางเริ่มไม่ดี “บล.เอเซีย พลัส” คาดกำไรไตรมาส 1/67 ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปี ถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่ม โครงการรถไฟฟ้า “สีเหลือง-ชมพู” ธุรกิจก่อสร้างกำไรขั้นต้นต่ำ หั่นราคาหุ้นสิ้นปีเหลือ 10.50 บาท

วันที่ 4 พฤษภาคม 2567 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด วิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.) ของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC จะมีผลขาดทุนสุทธิ 36 ล้านบาท นับเป็นการพลิกกลับมาขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี (STEC ขาดทุนครั้งสุดท้ายในงวดไตรมาส 4/2566) ที่มีการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนจากการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่)

โดยไตรมาส 1/2567 ถูกกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นตามส่วนได้ส่วนเสีย ที่คาดว่าจะสูงถึง 130 ล้านบาท เทียบกับงวดไตรมาส 1/2566 และไตรมาส 4/2566 ที่มีส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้ส่วนเสีย 0.6 ล้านบาท และ 50.9 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีผลขาดทุนมากขึ้น จากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง และ STEC ต้องเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูเข้ามาในไตรมาสนี้เป็นไตรมาสแรก

ในขณะที่บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (สนามบินอู่ตะเภา) ยังคงมีผลขาดทุนตามปกติราว 10 ล้านบาท/ไตรมาส

สำหรับธุรกิจก่อสร้าง คาดว่าไตรมาส 1/2567 จะมียอดรับรู้รายได้ราว 6.53 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 1/2566 แต่น่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ลดลงเหลือเพียง 4.70% จากที่ทำได้ 5.85% ในไตรมาส 1/2566 เนื่องจาก STEC ยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานซ่อมอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอนที่เกิดอุบัติเหตุในปี 2565 แต่ยังไม่สามารถเบิกเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยได้

Advertisment

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ประเมินว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 1/2566 ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายไตรมาสนี้คาดจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 6 เท่าตัวจากงวดไตรมาส 1/2566 มาอยู่ที่ 33 ล้านบาท ตามภาระเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประมาณการกำไรปีนี้มี Downside Risk

ประมาณการกำไรปี 2567 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 697 ล้านบาท มี Downside Risk ที่จะถูกปรับลงค่อนข้างสูง แม้ว่าประมาณการรายได้ธุรกิจก่อสร้างและอ้ตรากำไรขั้นต้นที่ประเมินไว้ 30,392 ล้านบาท และ 5.0% ตามลำดับ ยังมีความเป็นไปได้ เนื่องจากรายได้ก่อสร้างปีนี้จะถูกขับเคลื่อนจากโครงการหลักที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน

ได้แก่ งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP จำนวน 3 แห่งของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้, รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ, งาน O&M มอเตอร์เวย์ M6 และ M81, ศูนย์ราชการเฟส 2, โครงการหมอชิตคอม-เพล็กซ์ รวมถึงงานก่อสร้างโครงการใหม่ที่เพิ่งได้รับเข้ามาปลายปีก่อน คือ โรงไฟฟ้าโซลาร์ขนาด 500 MW ของ GULF มูลค่า 5,240 ล้านบาท ที่มีระยะเวลาก่อสร้างสั้นเพียง 1 ปี

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น ก็น่าจะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้เพียง 4.39% เนื่องจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างในปัจจุบันมีความผันผวนน้อยกว่าปีก่อนมาก ทั้งราคาปูนซีเมนต์และเหล็กเส้น นอกจากนี้ STEC ยังอยู่ระหว่างทำเรื่องขอเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัยสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในโครงการอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอน หากได้รับเงินประกันเข้ามาก็จะหักออกจากต้นทุนงานก่อสร้าง ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการทำงานส่วนใหญ่ปีนี้เป็นงานจากภาคเอกชนที่มีอัตรากำไรสูงกว่างานภาครัฐ

Advertisment

อย่างไรก็ตามรายการส่วนแบ่งขาดทุนตามส่วนได้เสียที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ทั้งปีที่ 159 ล้านบาท มีโอกาสที่จะประเมินไว้ต่ำเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

อ้างอิงข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง พบว่าเดือน เม.ย. 67 ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 28,053 เที่ยว/วัน ส่วนรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ที่ 44,498 เที่ยว/วัน ซึ่งยังห่างไกลจากจุดคุ้มทุนที่ผู้บริหารเคยประเมินไว้ว่าจะต้องมีผู้โดยสารราว 1.2-1.3 แสนเที่ยว/วัน

ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินว่า STEC อาจต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูรวมกันไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/ไตรมาส ต่อเนื่องไปอีกหลายไตรมาส รวมไปถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายของ STEC ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ตามมูลค่าของเงินกู้ที่สูงขึ้น จากการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่หลายโครงการ อาทิ โครงการ Data Center, โรงหล่อคอนกรีต, โครงการอู่ตะเภา เป็นต้น

ราคาหุ้นถูกกดดันในระยะสั้น

แม้ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ STEC ที่จะได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เห็นการเปิดประมูลโครงการลงทุนมากขึ้นในช่วงนับต่อจากนี้ โดยที่ STEC ยังมี Backlog คงเหลืออีกกว่า 9 หมื่นล้านบาท ที่จะรองรับการสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ปัจจัยดังกล่าวน่าจะถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นแล้วพอสมควร

เห็นได้จากราคาหุ้น STEC ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 26% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามส่วนแบ่ง
ขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูที่สูงกว่าที่เคยประเมินไว้มาก ส่งผลให้ช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า STEC น่าจะเผชิญแรงกดดันจากการถูกปรับลดประมาณการกำไรลง

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยจึงปรับลดคำแนะนำลงจาก Neutral เป็น Underperform และปรับลดราคาพื้นฐาน (Fair Value) ลงจากเดิมอิงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ 1 เท่า มาอยู่ที่ 0.89 เท่า ให้ราคาเหมาะสมใหม่เหลือ 10.50 บาท ลดลงจากราคา 11.80 บาท