คปภ.ซุ่มชงคลังแก้ กม.ประกัน เพิ่มอำนาจอนุมัติต่างชาติถือเกิน 49%

คปภ.ชงคลังแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจบอร์ด คปภ. ไฟเขียวต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกันในไทยเกินเกณฑ์ 49% แทนการเสนอขุนคลังอนุมัติ ชี้ปัจจุบันบอร์ดมีอำนาจอนุญาตให้ถือหุ้นเกิน 25% แต่ไม่ถึง 49% หวังลดขั้นตอน หนุนคล่องตัว เผยดีล “เอไอจี” ค้างเติ่ง-ขุนคลังมอบ คปภ. ศึกษาเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในไทยทั้งระบบแทนการไฟเขียวแค่รายเดียว

นายสมประโชค ปิยะตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ คปภ.อยู่ระหว่างเสนอแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติประกันชีวิต และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย เพื่อให้คณะกรรมการ คปภ. มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ต่างชาติถือครองหุ้นในบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยในไทยได้เกิน 49% แล้วค่อยรายงาน รมว.คลังรับทราบ จากปัจจุบันที่ต้องเสนอ รมว.คลัง เป็นผู้พิจารณาอนุญาต

ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดขั้นตอนให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ คปภ.ได้จัดทำประชาพิจารณ์ (public hearing) เพื่อรับฟังความคิดเห็นภาคธุรกิจไปแล้ว

“ตอนนี้กำลังเสนอกลับไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็นชอบแก้ไขกฎหมาย เพื่อนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจากนั้นต้องเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วย ซึ่งยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลา เว้นแต่จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนหรือวาระพิเศษของรัฐบาล” นายสมประโชคกล่าว

นายสมประโชคกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบอร์ด คปภ.ก็มีอำนาจอนุญาตให้ต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทประกันในไทยได้เกิน 25% แต่ไม่เกิน 49% ซึ่งหากแก้กฎหมายได้ตามแนวทางที่วางไว้ต่อไปกระบวนการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นก็จะอยู่ที่ คปภ.ทั้งหมด โดยมีข้อดีก็คือจะทำให้เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

“ประกาศกระทรวงการคลังปัจจุบันจะเปิดให้ต่างชาติจะเข้ามาเพิ่มทุนได้ 2 กรณี คือ บริษัทประกันภัยแห่งนั้น ๆ มีปัญหาทางการเงิน และบริษัทประกันภัยไม่ได้มีปัญหา แต่ต้องการจะสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ” นายสมประโชคกล่าว

ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่จะอนุญาตให้ต่างชาติเพิ่มทุน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนไม่ต่ำกว่าอัตราที่ คปภ.กำหนดไว้ คือถ้าเป็นบริษัทประกันชีวิต จะต้องดำรงเงินกองทุนที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทประกันวินาศภัยต้องมีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ต่างชาติที่เข้ามาเพิ่มทุนยังต้องมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยไม่น้อยกว่า 10 ปี และบุคคลดังกล่าวหรือบริษัทแม่จะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ A จากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับ และมีเครือข่ายการประกอบธุรกิจในระดับสากล

นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การจะแก้ไขให้อำนาจอนุมัติต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% ในบริษัทประกันภัยไทยนั้น มีการพิจารณากันอยู่ แต่ยังไม่เรียบร้อย และทาง คปภ.ยังไม่ได้ส่งเรื่องมาที่กระทรวงการคลังในขณะนี้

แหล่งข่าวจาก คปภ.กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับแนวโน้มการเข้ามาถือหุ้นบริษัทประกันภัยในไทยของต่างชาติเพิ่มเติมนั้น ที่ผ่านมามีเพียงกรณีบริษัท เอไอจี ที่เป็นบริษัทแม่ของ บมจ.เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) เพียงรายเดียวที่ได้ยื่นเรื่องเข้ามาเพื่อขอถือหุ้นเกิน 49% ซึ่งกรณีดังกล่าวทาง คปภ.ได้พิจารณา พร้อมเสนอไปให้ รมว.คลัง พิจารณาอนุญาตนานแล้ว อย่างไรก็ดี ทาง รมว.คลังได้ส่งเรื่องกลับมายัง คปภ. เพื่อให้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในไทย ว่าธุรกิจประกันไทยพร้อมรับมือการแข่งขันหรือยัง

“รมว.คลังเห็นว่า เนื่องจาก AIG ไม่ได้มีปัญหาผลประกอบการ รวมถึงเห็นว่าหากจะพิจารณาให้เพียงรายเดียว อาจจะไม่เหมาะสม เพราะ AIG จะถือหุ้นเพิ่มถึง 100% ดังนั้นหากเปิดเสรีเป็นการทั่วไป น่าจะเหมาะสมกว่า แต่ก็ต้องดูว่าธุรกิจประกันไทยพร้อมรับมือแข่งขันเสรีแล้วหรือยัง จึงมีการให้ คปภ.มาศึกษาเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เสนอกลับไปยังกระทรวงการคลัง ส่วนรายอื่น ๆ ก็ยังไม่มีเข้ามาเพิ่มเติม” แหล่งข่าวกล่าว