รับสมัครแคนดิเดตวันแรก หนุนหุ้นไทยบวกสวนปิดตรุษจีน

นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ก.พ.62 ปิดตลาดที่ดัชนี 1,653.62 จุด เพิ่มขึ้น 2.22 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.13 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายรวมค่อนข้างเบาบางที่ 31,741.93 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นวันนี้แกว่งตัวในกรอบแคบถึงแคบมากตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ระหว่างจุดสูงสุดที่ 1,659.26 จุด และต่ำสุดที่ 1,652.14 จุด หรือราว 7 จุดเท่านั้น

ปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบางมาจากการปิดทำการในช่วงเทศกาลตรุษจีนของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ตลาดหุ้นจีนและไต้หวันที่ปิดทำการทั้งสัปดาห์ ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันอังคาร – พฤหัสบดี ตลาดหุ้นเกาหลีปิดทำการจันทร์ – พุธ รวมถึงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์และอินเดียปิดทำการเช่นเดียวกัน มูลค่าซื้อขายจึงเบาบางตามคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมเชิงบวกได้

ด้านปัจจัยภายนอก ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจีนยืนยันว่าจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม ดังนั้น คาดว่าสหรัฐฯ จะมีการประกาศเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยว่าจะมีการเจรจากับผู้นำจีนอีกครั้งในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนการประกาศตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาค่อนข้างดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นในวันศุกร์ (1 ก.พ.62) ที่ผ่านมา และสุดท้ายราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวค่อนข้างสูงราว 2% เป็นแรงหนุนที่ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมาในช่วงนี้

ด้านปัจจัยในประเทศ ปัจจัยการเมืองค่อนข้างเข้มข้น หลังวันนี้ (4 ก.พ.62) เปิดรับสมัคร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เป็นวันแรก ซึ่งจะปิดรับสมัครในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ.62 นี้ ซึ่งปัจจัยด้านการเมืองเป็นปัจจจัยที่หนุนตลาดหุ้นไทยให้ยังสามารถปรับขึ้น และรักษาดัชนีในแดนบวกได้

ส่วนภาพรวมของดัชนีหุ้นในวันพรุ่งนี้ (5 ก.พ.62) ประเมินว่าดัชนีหุ้นจะ “พักตัว” หรือมีการเคลื่อนไหวของดัชนีคล้ายคลึงกับวันนี้ โดยประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,643 จุด และแนวต้านที่ 1,663 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุนยังคงเน้นธีม (theme) การลงทุนแบบผสมระหว่างกลุ่มน้ำมัน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน PTT และ PTTEP, กลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากปัจจัยในประเทศ (Domestic Play) ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก CPALL ROBINS และ BJC กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK และ STEC และกลุ่มที่ให้ปันผลสูง ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ LH และ QH กลุ่มไอซีที (ICT) ADVANC และ DTAC