ปัจจัยภายนอกหนุน SET ไต่ขึ้นบริเวณ 1,670-1,680 จุด

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ก่อนอื่นต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ โดยคอลัมน์ในฉบับนี้เป็นฉบับแรกของผม ซึ่งขอเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น รวมถึงกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ถือว่าเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแวดวงการทำงานของผม และอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมารวมถึงมุมมองต่าง ๆ ซึ่งผมหวังว่าจะสามารถถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ไม่มากไม่น้อยต่อท่านผู้อ่านนะครับ

ฉบับนี้ผมจะมาวิเคราะห์แนวโน้ม SET ในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนในตลาดจะกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยต่างประเทศมากขึ้น ในขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศจะให้น้ำหนักน้อยลง ซึ่งอยู่ในช่วงรอความชัดเจนอีกครั้งในต้นเดือนพฤษภาคม โดยปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญในช่วงนี้ แบ่งได้เป็น 3 ประเด็นด้วยกัน ซึ่งได้แก่ 1) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน 2) ประเด็น Brexit และ 3) ความกังวลสำหรับการเกิด inverse yield curve

โดยประเด็นแรกการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ซึ่งแม้ยังไม่ลงตัวแต่คาดว่าอีกไม่นาน โดยปัจจุบันเห็นสัญญาณที่ดีจากทั้งสองฝ่าย โดยสหรัฐอาจยินยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนส่วนหนึ่งในทันที (จากเดิมจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจนกว่าจีนจะปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้า) ขณะที่จีนเองประกาศขยายเวลาผ่อนปรนมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 1 เม.ย. ทั้งนี้ มุมมองของผมคาดว่าท้ายสุดแล้วจะมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ เนื่องด้วยเศรษฐกิจจีนได้รับผล กระทบจนต้องมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาสักระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็คงไม่ต้องการให้เศรษฐกิจชะลอตัวไปถึงปลายปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งเพราะจะกระทบต่อคะแนนนิยม ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้อย่างเร็วภายในเดือน เม.ย.นี้ หรืออย่างช้าในเดือน มิ.ย.

ประเด็นที่ 2) Brexit ยังคลุมเครือ โดยล่าสุดนายกฯอังกฤษจะร้องขอต่อ EU ให้เลื่อนเส้นตาย Brexit ออกไปอีกครั้ง จากเดิมในวันที่ 12 เม.ย.เป็น 22 พ.ค. เพื่อให้มีเวลาเจรจากับรัฐสภาอังกฤษในการบรรลุข้อตกลง ซึ่งแม้ว่ารัฐสภาอังกฤษที่ผ่านมายังปฏิเสธทุกทางเลือก (ซึ่งรวมถึงการไม่ยอมออกจาก EU แบบไร้ข้อตกลง) อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากทางเลือกหนึ่ง ซึ่งให้อังกฤษยังอยู่ในสหภาพศุลกากร EU ต่อไป

ซึ่งการโหวตในสภาที่ผ่านมาคะแนนค่อนข้างสูสี (แพ้ไปเพียง 5 เสียง) ดังนั้น ผมมองว่ามีโอกาสที่รัฐสภาอังกฤษจะเลือกออกจาก EU ด้วยข้อตกลงนี้ หรือออกอย่างมีเงื่อนไข ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดในด้านความชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจของ EU และอังกฤษจะเดินหน้าได้ต่อ จากปัจจุบันที่ดูเหมือนติดขัดจากความไม่ชัดเจนของ Brexit กระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจ

Advertisment

ประเด็นที่ 3) การเกิด inverse yield curve สร้างความกังวลต่อการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ดังเช่นในช่วงปี 2007-2008 อย่างไรก็ตาม ด้านมุมมองผมไม่ได้กังวลต่อประเด็นนี้มากนัก และมองเป็นเพียงปัจจัยกดดันแค่ระยะสั้น เนื่องจากการมองว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปีหน้ายังเร็วไป และมีความเป็นไปได้น้อยในช่วงที่ธนาคารกลางต่าง ๆ หันมาใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน (เฟดมีเครื่องมือกลับมาลดดอกเบี้ยได้) และการบรรลุข้อตกลงการค้าช่วยคลายกังวลประเด็นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้ ตามคำกล่าวของเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนหน้านี้ที่ว่าการเกิด inverse yield curve ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นสัญญาณที่เฟดจะมีการลดดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง สอดคล้องกับมุมมองของ IMF ที่ไม่ได้มองว่าเศรษฐกิจถดถอย แต่อยู่ในช่วงชะลอตัว และจะกลับมาฟื้นตัวได้บ้างหากธนาคารกลางต่าง ๆ อดทนต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย และจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น จะเห็นว่าปัจจัยต่างประเทศซึ่งน่าจะเกิดความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นการบรรลุข้อตกลงการค้า และ Brexit ขณะที่การเกิด inverse yield curve ไม่น่ากังวลนัก รวมถึงความน่าสนใจด้านมูลค่าพื้นฐาน ซึ่ง SET ในระดับที่ต่ำกว่า 1,650 จุด มีความน่าสนใจ เนื่องจากจะเทรด ณ ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปี ของ forward P/E

ด้านกลยุทธ์การลงทุน หากเห็น SET ลงมาต่ำกว่า 1,650 จุด หรือแถว ๆ กรอบล่างบริเวณ 1,620-1,630 จุด ให้ใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม และเป้าหมายระยะสั้นของ SET น่าจะไปถึง 1,670-1,680 จุด

ส่วนเป้าหมายในสิ้นปีนี้มองไว้ที่ 1,750 จุด (คิดเป็นระดับ +1 S.D. จากค่าเฉลี่ย 3 ปี forward P/E ของ SET) โดย บล.ไทยพาณิชย์ จะมีหุ้นแนะนำ top picks ประจำเดือนเมษายน ด้วยความน่าสนใจของผลการดำเนินงาน ซึ่งเหมาะกับในช่วงเข้าใกล้การประกาศผลการดำเนินงานใน Q1/62 ซึ่งได้แก่ BJC, GLOBAL, IVL, PTTEP และ TU…และพบกันใหม่ในฉบับหน้าครับ…ด้วยรักและหวังดี

Advertisment