CIMBT เพิ่มคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เป็น 3.7% มองศก.ยังกระจุกตัว-แนะภาครัฐกระตุ้นลงทุน

สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ได้ปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปี 2560 จาก 3.2% เป็น 3.7% และจาก 3.5% เป็น 3.8% ในปี 2561 โดยมองว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 และทั้งปี 60 ยังคงไม่แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา คือการส่งออกและการท่องเที่ยวนำ การลงทุนภาครัฐน่าจะกลับมาขยายตัวหลังมีการอนุมัติโครงการใหม่ ๆ แต่อุปสงค์ในประเทศผ่านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงอ่อนแอ

“แม้เราเชื่อว่าการลงทุนภาคเอกชนจะพลิกเป็นบวกได้ดีขึ้นหลังการส่งออกฟื้นต่อเนื่องราว 2 ไตรมาส นั่นคือจะไปเห็นในช่วงปลายไตรมาส 3 ต้นไตรมาส 4 แต่ก็คงเป็นการฟื้นตัวต่ำ ๆ ขณะที่เศรษฐกิจน่าจะไปเน้นที่ภาคบริการมากกว่าการผลิต” นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส CIMBT กล่าว

นายอมรเทพ กล่าวว่า เศรษฐกิจรอบนี้ฟื้นตัวที่ภาคท่องเที่ยวและส่งออก แต่ไม่ใช่ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาขึ้นตามราคาน้ำมัน ผู้ได้ประโยชน์คือคนที่มีรายได้จากภาคเกษตร ทั้งราคาพืชผลดีและผลผลิตมากขึ้นกว่าปีก่อนที่มีภัยแล้ง ยกเว้นกลุ่มชาวนาเพราะราคายังต่ำ ส่วนคนที่มีรายได้นอกภาคเกษตร รายได้กลับไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนทำงานภาคการผลิต ก่อสร้าง สอดรับกับการลงทุนที่กลับมาขยายตัวแต่ยังขยายตัวต่ำ จำกัดเพียงบางอุตสาหกรรม และหลายอุตสาหกรรมมีอุปทานส่วนเกิน ด้านภาคบริการเองก็ขยายตัวต่ำเช่นกัน ยกเว้นร้านอาหาร โรงแรม และขนส่งที่ได้ประโยชน์จากท่องเที่ยว

สำนักวิจัยฯสันนิษฐานว่า คนมีรายได้น้อยในภาคเกษตรนำเงินไปใช้หนี้ก่อน และเก็บเงินไว้ใช้ช่วงฉุกเฉินยามเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม หรือราคาพืชผลตกต่ำ เมื่อคนกลุ่มนี้ชะลอการใช้จ่าย ส่งผลให้คนรายได้ระดับกลางในเมืองมีรายได้ทรงตัวหรือลดลง

นอกจากการเชื่อมโยงระหว่างคน กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กก็เชื่อมโยงกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้น้อยลงด้วย ดังเห็นได้ว่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีรายได้และกำไรที่ขยายตัว ต่างกับกลุ่ม SME ที่ยอดขายไม่ดี กำไรหดตัว นั่นเพราะธุรกิจขนาดใหญ่มีโอกาสเชื่อมโยงกับภาคต่างประเทศได้มากกว่ากลุ่ม SME

“ประเด็นที่ได้ยินบ่อยช่วงนี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจดี แต่ทำไมคนถึงไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดี สำนักวิจัยหลายแห่งปรับประมาณการขึ้น แต่คนกลับบ่นว่ายอดขายไม่ดี กำไรหดตัว เงินเฟ้อต่ำแต่ทำไมต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคค้าปลีกโตต่ำกว่าภาคอื่น และความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุนลดลง การที่คนรู้สึกสวนทางกับรายงานเศรษฐกิจนั่นเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรอบนี้กระจุกตัวในคนบางกลุ่ม การเชื่อมโยงของคนมีรายได้ดีไปสู่คนรายได้ไม่ขยับขึ้นนั้นมีน้อยลง”นายอมรเทพ กล่าว

นายอมรเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อเกิดความไม่เชื่อมั่นกับเศรษฐกิจ พฤติกรรมคนจะตัดรายจ่ายไม่จำเป็น ออมเงินให้มากขึ้น เพราะไม่แน่ใจกับรายได้ในอนาคต หรือนำไปใช้หนี้ทั้งในและนอกระบบเพื่อลดภาระดอกเบี้ย ก็เป็นที่มาว่าทำไมการบริโภคและการลงทุนในประเทศอ่อนแอ แม้เศรษฐกิจจะขยายตัว หากพิจารณาการประหยัด แม้เป็นเรื่องดีที่ควรส่งเสริมกันในระดับจุลภาค แต่หากทุกคนประหยัดพร้อมกันในระดับมหภาคแล้ว เศรษฐกิจก็เกิดภาวะหยุดชะงัก หรือเงินไม่หมุน ยอดขายลดลง การผลิตก็ชะลอออกไป

ทั้งนี้ เขาระบุด้วยว่า จากการเดินสำรวจตลาด ถามพ่อค้าแม่ค้าว่าขายดีไหม กลับได้รับคำตอบจากแม่ค้าขายถั่วต้มว่าขายไม่ดีเพราะคนประหยัด แม้คนที่เดินส่วนมากจะเป็นมนุษย์เงินเดือนรายได้มั่นคง แต่พวกเขาก็ยังลดการซื้อสินค้าที่มีราคาถูก จึงไม่น่าสงสัยว่าคนที่น่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจรอบนี้น่าจะเป็นคนทำงานนอกระบบที่มีจำนวนมากในประเทศ

สำหรับวิธีแก้ปัญหาหรือเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนกล้าใช้จ่ายนั้น น่าจะทำได้ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตยังดูดี ต้องมีมาตรการให้คนเชื่อมั่น ซึ่งการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุน หรือการลดดอกเบี้ยเพื่อให้คนใช้จ่ายและลดต้นทุนทางการเงินนั้นอาจไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เพราะสิ่งที่นักลงทุนและผู้บริโภคต้องการคือทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ คือการใช้กลไกรัฐวิสาหกิจหรือภาครัฐในการเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการขนาดใหญ่ เพราะหากรัฐยังไม่เดินหน้า เอกชนก็ลังเลที่จะเดินตาม การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกจึงเป็นเรื่องที่รอช้าไม่ได้