“บลจ.วรรณ” ปรับแผนธุรกิจ เล็งตั้งบริษัทใหม่เสริมรายได้-ขายไพรเวททรัสต์

การลงทุน
ภาพ : Pixabay

บลจ.วรรณ ปรับเป้าธุรกิจปีนี้ หวังรักษาระดับมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทรงตัวที่ 1.45 แสนล้านบาท ลุยแผนตั้งบริษัทใหม่เสริมทัพรายได้ธุรกิจกองทุนรวม เผยเตรียมออก Private Equity Trust ซื้อหุ้นบริษัทอนาคตดี

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด หรือ One Asset Management เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าระดับ 1.45 แสนล้านบาท ปรับลงจากต้นปีที่คาดว่าจะสามารถรักษาระดับ AUM ให้เทียบเท่ากับปี 2562 ได้ที่ประมาณ 1.50 แสนล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกสินทรัพย์ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.41 แสนล้านบาท แบ่งเป็นสินทรัพย์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 37% กองทุนรวม 36% และกองทุนส่วนบุคคล 27%

ขณะที่ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. – 20 พ.ย.นี้ บริษัทฯ เตรียมเสนอขาย กองทุนเปิด วรรณ ไลฟ์ เซทเทิลเมนท์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-LS-UI) เงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนทางเลือกที่ไม่อิงกับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น เนื่องจากจะเน้นการลงทุนจากการเข้าซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ออกโดยบริษัทประกันชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

“ปัจจุบันความต้องการลงทุนกองทุนต่างๆ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความผันผวนของตลาดหุ้น และตลาดการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ทางเลือกการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนผ่านกองทุนที่มีผู้ดูแลกระจายการลงทุนให้เหมาะสม โดยบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายและสามารถให้ผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่มีความผันผวนสูงในปัจจุบัน ส่งผลให้ AUM ของบริษัทเติบโตขึ้นต่อเนื่องแม้จะมีบางส่วนที่ขายทำกำไรออกมาบ้างก็ตาม” นายพจน์ กล่าว

เมื่อสอบถามถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ นายพจน์ กล่าวว่า บลจ.วรรณ จะยังคงเน้นการเพิ่มช่องทางการขาย ควบคู่กับการให้คำแนะนำการลงทุนเชิงรุก เพื่อให้ทันต่อภาวะตลาดมากที่สุด โดยเตรียมเปิดตัวบริษัทในเครือใหม่ เพื่อดำเนินธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขาย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจประมาณ 10 แห่ง และพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ทั้งนี้ บลจ.วรรณ จะถือหุ้น 100% ในบริษัทที่จะเปิดดำเนินการใหม่

“เราหวังว่าบริษัทดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ บลจ.วรรณ เนื่องจากเราไม่ได้เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีแม่เป็นธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น จึงจะเป็นต้องพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และเพิ่มช่องทางการขายของผลิตภัณฑ์ อีกทั้งจะต้องมีการปรับตัวใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเราเชื่อมั่นว่าธุรกิจใหม่ของ บลจ.วรรณ จะมีกลยุทธ์และการบริการที่แตกต่างจากที่มีอยู่ในอุตสาหกรรม ณ ปัจจุบันนี้” นายพจน์ กล่าว

สำหรับธุรกิจกองทุนอสังหาริมทรัพย์ นายพจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาการแปลงสภาพกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property fund) ให้เป็นกองรีท (REIT) เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เพิ่มเติม และทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้เจรจาเพิ่มเติมกับพันธมิตรอีก 1-2 แห่งเพื่อหาโอกาสเปิดกองทุนใหม่ด้วย โดยทางบริษัทฯ จะดูแลทั้งสินทรัพย์ต่อไปในบทบาทของทรัสตี หรือผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT Manager)

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการจัดตั้ง Private Equity Trust จำนวน 2-3 กองในฐานะทรัสตี ให้แก่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ เพื่อลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีผลตอบแทนที่ดี

ด้าน นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันแนะนำผู้ลงทุนติดตามปัจจัยทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจัยในต่างประเทศให้น้ำหนักกับปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ในช่วงไตรมาส 3/63 ที่ตัวเลขจีดีพีเติบโตได้ถึง 4.9%

ถัดมาให้น้ำหนักกับปัจจัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ปัจจุบันหลายประเทศได้กลับมาล็อกดาวน์อีกครั้งหลังจากมีการแพร่ระบาดระลอกสอง และสุดท้ายปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเงินของโลก

ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) จะแกว่งออกข้าง (Sideway) เพื่อรอความชัดเจน โดยมีแนวรับสำคัญทางเทคนิกในกรณีที่ไม่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยระลอกสองที่ 1,150 จุด ทั้งนี้ เชื่อว่า SET Index จะปรับลงไม่ถึงระดับดังกล่าว เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะปรับตัวลงไม่มาก

ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสฟื้นตัว โดยมองเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,380 จุด จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลที่ได้ผลตอบรับที่ดีและสถานการณ์ในประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง อีกทั้งตั้งเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยของปีหน้าที่ระดับ 1,440 จุด ภายใต้สมมติฐานกำลังการผลิตทั่วโลกและกิจกรรมทางการค้า เริ่มมีการฟื้นตัวจากฐานที่ทรงตัวระดับต่ำในปีนี้


“สำหรับเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยมีการปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้อยู่ที่ประมาณ -7.8% และคาดว่าปีหน้าจะเริ่มมีการขยายตัวได้ดีจากฐานที่ต่ำของปีนี้ อีกทั้ง คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากถูกกดดันจากระดับราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำเช่นกัน” นายมณฑล กล่าว