เงินบาทอ่อนค่านำภูมิภาค แนวต้าน 32 บาท-ธปท.เร่งสร้างสมดุล

เงินบาท

เงินบาทอ่อนค่านำภูมิภาค แตะ 32 บาททำสถิติรอบ 13 เดือน “กสิกรไทย” ชี้ผลกระทบสถานการณ์โควิดในประเทศเป็นหลัก คาดไม่น่าอ่อนค่ามากกว่านี้ ประเมินสิ้นปีค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.50 บาทฟาก ธปท.ชี้บาทอ่อนค่ากว่าภูมิภาคเหตุไทยพึ่งพาท่องเที่ยวสูง เดินหน้าสร้างสมดุลระบบนิเวศอัตราแลกเปลี่ยน ปลื้มคนไทยแห่ลงทุนต่างประเทศพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปีจ่อปรับเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน บังคับใช้สิ้นปีนี้

นางสาวพีรพรรณ สุวรรณรัตน์ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทช่วงนี้ อ่อนค่ากว่าภูมิภาค โดยมีบางช่วงอ่อนค่าแตะระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ ถือว่าอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 13 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 อย่างไรก็ดี การจะอ่อนค่าไปมากกว่านี้ยังค่อนข้างเป็นไปได้ยาก หากไม่มีเงินทุนเคลื่อนย้ายหนัก ๆ

“บาทที่อ่อนช่วงนี้ เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเป็นหลักรวมถึงนักลงทุนมีการปรับพอร์ตลงทุน หันไปถือดอลลาร์ แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ขณะที่ดอลลาร์ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีประเด็น

Advertisment

เพราะตลาดรอดูจำนวนการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันที่ 2 ก.ค. อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาท คงจะหลุดไปยืนเหนือ 32 บาทค่อนข้างยาก เพราะตลาดรับรู้สถานการณ์โควิดไปมากแล้ว” นางสาวพีรพรรณกล่าว

นางสาวพีรพรรณกล่าวด้วยว่า ธนาคารยังคงประมาณการค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2564 นี้ที่ 30.50 บาท หลังจากได้ปรับคาดการณ์ใหม่ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้จากเดิมคาดการณ์ที่ 29.75 บาท

ขณะที่นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงนี้ มาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก

Advertisment

และการที่อ่อนค่ากว่าภูมิภาค ก็เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวมาก ตลอดจนมีปัจจัยการระบาดของโควิดในประเทศด้วย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันการสร้างสมดุลระบบนิเวศอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของอัตราแลกเปลี่ยน โดยสิ่งที่ได้ดำเนินการแล้ว ได้แก่ 1.การปรับเกณฑ์การเปิดบัญชีเงินตราต่างประเทศ (FCD)

ซึ่งพบว่า การใช้บัญชี FCD ทยอยปรับเพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนบัญชี ในเดือน พ.ค.อยู่ที่ 203,973 บัญชี และผู้ใช้บริการ 146,725 ราย และมูลค่าธุรกรรมฝากถอนเฉลี่ยต่อเดือนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 40% ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เป็นบุคคลธรรมดา

2.การผ่อนคลายเกณฑ์ลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้คนไทยไปลงทุนเพิ่มขึ้น สะท้อนจากตัวเลขไตรมาส 4 ปี 2563-พ.ค.2564 (9 เดือน) ที่กว่า 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ยออกไปลงทุนเพียง 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ขณะที่ดัชนี home-bias ของคนไทยลดลงจาก 95% มาอยู่ที่ 93% สะท้อนว่าคนไทยมีแนวโน้มการกระจายการลงทุนในต่างประเทศที่ดีขึ้น โดยพบว่า มีบุคคลธรรมดาถึง 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3 หมื่นราย จากเดิม 1.5 หมื่นราย ที่ออกไปลงทุนในแพลตฟอร์มต่าง ๆ

3.การลงทะเบียนแสดงตัวตนเพื่อซื้อขายตราสารหนี้ (BIR) โดยเปิดให้ลงทะเบียน เม.ย.-ธ.ค. 2564 และตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป จะมีผลบังคับใช้ และ 4.โครงการ Non-resident Qualified Company (NRQC) การให้บริษัทต่างชาติมาลงทะเบียนเพื่อทำธุรกรรมในประเทศได้ง่ายขึ้น

โดยไม่มีภาระเอกสาร และบริหารสภาพคล่องเงินบาทได้ยืดหยุ่นขึ้น ปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วมโครงการแล้ว 27 ราย และมียอดธุรกรรมกับสถาบันการเงินไทยแล้วกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์

“การสร้างสมดุลอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องทำพร้อม ๆ กันหลายด้าน เพราะมาตรการถูกสร้างมา เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดย ธปท.ติดตามข้อมูลและความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญไม่ว่าบาทจะแข็งหรืออ่อนค่า” นางสาวชญาวดีกล่าว

นางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการ ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างพิจารณาปรับเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน (FX regulatory framework) เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถรองรับความผันผวนของค่าเงินได้ดีขึ้น

เนื่องจากเดิมมีปัญหาหลักเกณฑ์ไม่สมดุลระหว่างเงินขาเข้าและขาออก จึงเป็นแรงกดดันค่าเงินบาท และหลักเกณฑ์การป้องกันความเสี่ยงยังน้อย เนื่องจากภาระต้นทุนที่ค่อนข้างสูง

ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินการเบื้องต้น คือ การลดข้อจำกัดการใช้อัตราแลกเปลี่ยนทั้งในและต่างประเทศ ผู้ที่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนสามารถป้องกันความเสี่ยงได้ง่ายและยืดหยุ่นขึ้น

จากปัจจุบันผู้ส่งออกมีการป้องกันความเสี่ยงอยู่ที่ 19% และผู้นำเข้า 24% จะขยายให้ครอบคลุมขึ้น“เรื่องนี้ได้หารือกับผู้มีส่วนไดส่วน้เสีย (stakeholders) และอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้” นางสาวภาวิณีกล่าว