กลางเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา มีการประชุมที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการผลิตสินค้า แต่เหตุเกิดที่กระทรวงคมนาคม
โดยเป็นกำหนดนัดประชุมหารือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
- พนักงานถูกไล่ออก เพราะพากันหนีไฟไหม้ ที่มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินอล
- เปิด 20 อันดับมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นด้านวิศวกรรมศาสตร์
- เงินอุดหนุนนักเรียน 2567 ช่วยค่าชุด-หนังสือเรียน อนุบาล-ปวช. ได้เท่าไร
ฝ่ายไทย ประกอบด้วย “ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์” อธิบดีกรมการขนส่งทางราง หรือ “ขร.” กับฝ่ายญี่ปุ่น ประกอบด้วย “Japan Freight Railway Company” หรือ JR Freight และบริษัท Nippon Koei ประชุมหารือความเหมาะสมของธุรกิจการเดินรถและการซ่อมบำรุง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบรางในประเทศไทย
ที่ประชุมได้มีการรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น ดังนี้
1.ฝ่ายญี่ปุ่นรายงานความก้าวหน้าของโครงการ โดยนำเสนอข้อมูลแนวโน้มการขนส่งสินค้า อาทิ เส้นทางลาดกระบัง-แหลมฉบัง ที่มีสัดส่วนการขนส่งทางรางเพิ่มขึ้นเป็น 403 TEU (ตู้ 20 ฟุต) หรือร้อยละ 31 เมื่อเทียบการขนส่งทางถนน
ซึ่งผลการศึกษานี้จะมีส่วนช่วยในการสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรถไฟ เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (model shift) จากถนนไปสู่ระบบรางให้มากขึ้น
2.ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอให้มีเพิ่มการฝึกอบรมการขับรถไฟให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางที่คาดว่าจะมีมากขึ้นในอนาคต
และ 3.ฝ่ายญี่ปุ่นนำเสนอตัวอย่างการใช้สัญลักษณ์ Eco Rial Mark ในประเทศญี่ปุ่น สำหรับเป็นตัวแบบที่ประเทศไทยน่าจะมีการพิจารณาหยิบมาใช้ตามความเหมาะสม
โดยการใช้ตราสัญลักษณ์ “Eco Rial Mark” ทางประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2548 ด้วยการทำเป็นฉลากติดอยู่บนสินค้าที่ขนส่งผ่านระบบขนส่งทางราง
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการส่งเสริมธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ใช้การขนส่งสินค้าทางรถไฟ เพื่อมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นการส่งเสริมให้ใช้การขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มมากขึ้น
จึงอาจกล่าวได้ว่า สินค้าที่ขนส่งทางรถไฟ หรือสินค้าที่ขนส่งผ่านระบบขนส่งทางราง ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลกทั้งทางตรงและทางอ้อม
ดังนั้น กระทรวงคมนาคมและผู้ประกอบการผลิตสินค้าในประเทศไทยน่าจะรับไว้พิจารณา และแปลงโมเดล Eco Rail Mark สู่การปฏิบัติเป็นรูปธรรมต่อไป