เปิด 19 จังหวัด ป่วย ฝีดาษลิง มากสุด กทม.-นนทบุรี-ชลบุรี น่าห่วง

ฝีดาษลิง ฝีดาษ

กรมควบคุมโรคเปิดรายชื่อ 19 จังหวัด พบผู้ป่วย “ฝีดาษลิง” มากสุด เผย กทม.-นนทบุรี-ชลบุรี น่าห่วง

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 มติชน รายงาน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) หรือชื่อใหม่ว่า Mpox ในประเทศไทย ว่า โรคฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ เช่น ไปสัมผัสผิวหนังบริเวณที่เป็นตุ่มหนอง แล้วรับเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่ขณะนั้นอาจจะมีผิวแตก หรือเป็นแผลก็ได้ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทยถือว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีความสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และสามารถแพร่ต่อได้

“ในช่วงแรก ประมาณเดือนกรกฎาคม 2565-เมษายน 2566 จะเป็นต่างชาติจำนวนหนึ่ง แต่ในการติดเชื้อช่วงหลัง ๆ นี้ ผู้ติดเชื้อเป็นคนไทยเกือบทั้งหมด (หรือเกือบ 100%) ส่วนต่างชาติที่ติดเชื้อช่วงหลังก็เป็นการมาติดเชื้อในประเทศไทย ไม่ใช่เป็นการนำเชื้อมาจากต่างประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปยังไม่ต้องกังวลมาก หากไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง ประชาชนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสติดเลย อย่างช่วง 2-3 เดือนหลังนี้ ไม่มีผู้หญิงติดเชื้อเลย มีแต่ผู้ชายที่มีความเสี่ยงทางเรื่องเพศ เพราะจากการสอบสวนโรคพบว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย”

นพ.โสภณ กล่าวและว่า ฝีดาษลิงนั้น พบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 โดยระหว่างเดือนกรกฎาคม จนถึงเมษายน 2566 พบแค่ 20 กว่าราย แต่ต่อมาเดือนพฤษภาคม พบ 20 กว่าราย เดือนมิถุนายน พบเกือบ 50 ราย เดือนกรกฎาคม พบเป็นร้อยราย ส่วนเดือนสิงหาคมนี้ คาดว่าจะเป็นหลักร้อยรายเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง คือ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีคู่นอนที่ไม่รู้จัก เวลาไปในที่ที่ปิดไฟมิด ๆ ให้มีกิจกรรมทางเพศต่อ นพ.โสภณ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีผู้เสียชีวิตรายแรกในประเทศไทย ซึ่งมีรายงานว่าติดเชื้อฝีดาษลิง และมีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย เสียชีวิตด้วยเชื้อตัวไหน นพ.โสภณ กล่าวว่า คาดว่าจะเป็นสาเหตุร่วมกัน

“เพราะผู้เสียชีวิตรายนี้ไม่เคยรู้ตัวว่าติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน เลยไม่เคยเข้ารับการตรวจรักษาเอชไอวีเลย เพิ่งมารู้ว่าติดเอชไอวีก็ตอนที่ติดเชื้อฝีดาษวานรแล้ว ดังนั้น ภูมิคุ้มกันจึงต่ำมาก เพราะปกติคนติดเชื้อเอชไอวี หากไม่ได้รับการรักษา เม็ดเลือดขาว ซีดี 4 จะน้อย ซึ่งรายที่เสียชีวิตนี้ พบว่ามีระดับซีดี 4 เหลือเพียง 16 เท่านั้น อีกทั้งยังมีโรคซิฟิลิสด้วย เมื่อติดเชื้อฝีดาษลิงเลยทำให้เกิดเชื้อรา ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่น ๆ ตามมา” นพ.โสภณ กล่าว

เมื่อถามว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงขณะนี้ ซึ่งมีจำนวนมากที่พบว่าติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ได้รับการรักษาเอชไอวีอยู่แล้วหรือไม่ กรณีที่มีการรักษาอยู่ก่อน หากรับเชื้อฝีดาษวานร จะทำให้โรคฝีดาษวานรแสดงอาการอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รู้ตัวอยู่แล้ว และรับยาอยู่ แต่มีบางส่วนที่อาจจะไม่รู้ตัวว่าติดเอชไอวีมาก่อน ทำให้โรคฝีดาษวานร และการติดเชื้อเอชไอวีรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตเหมือนรายแรกที่เสียชีวิต ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเอชไอวี เมื่อติดเชื้อฝีดาษลิง ภูมิคุ้มกันต่ำจะทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ ทั้งนี้ กรณีที่ติดเชื้อเอชไอวี แล้วอยู่ในกระบวนการรักษา ได้รับยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ จะไม่มีความผิดปกติอะไรที่แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อ คือ ภูมิคุ้มกันใกล้เคียงปกติ

เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า น่าเป็นห่วงในกลุ่มเสี่ยงที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง ไม่น่าห่วงมากนัก โดยพื้นที่ที่มีการติดเชื้อค่อนข้างมาก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมาก

“ดังนั้น ขอให้ลดพฤติกรรมเสี่ยง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื้อกำลังเพิ่ม ถ้าเราสามารถลดพฤติกรรมเสี่ยง ก็จะปลอดภัย แต่หากไปมีความเสี่ยงมาแล้ว ก็ให้ตรวจสอบตัวเองว่า มีผื่น หรือตุ่มบริเวณที่สัมผัสหรือไม่ ทั้งอวัยวะเพศ ปาก หน้าท้อง แผ่นอก ถ้าลุกลามเป็นตุ่มหนองมากขึ้น บางคนมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต ให้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล สวมหน้ากากอนามัย เว้นการสัมผัสกับผู้อื่น ส่วนคนที่ไม่เป็นก็ขอให้ล้างมือบ่อย ๆ อย่าใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น” นพ.โสภณ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมโรคได้สรุปสถานการณ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วยรวม 189 รายในไทย โดยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย จำนวน 82 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 43 ล่าสุด จากเอกสารการกรมควบคุมโรค รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-วันที่ 15 สิงหาคม 2566 มีผู้ป่วย 217 ราย เป็นชาวต่างชาติ 30 ราย คนไทย 187 ราย อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 20-64 ปี ในจำนวนนี้ เสียชีวิต 1 ราย อายุ 34 ปี มีการติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้รับการรักษา

ทั้งนี้ มีรายงานการติดเชื้อใน 19 จังหวัด โดยมี 3 จังหวัด ที่อยู่ในระดับสีแดง คือ กรุงเทพฯ 136 ราย นนทบุรี 14 ราย ชลบุรี 9 ราย สีส้ม 3 จังหวัด คือ สมุทรปราการ 9 ราย ภูเก็ต 8 ราย ปทุมธานี 7 ราย ส่วนสีเหลือง 13 จังหวัด คือ สมุทรสาคร ลพบุรี มหาสารคาม ขอนแก่น พะเยา จังหวัดละ 2 ราย นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครนายก เชียงราย พระนครศรีอยุธยา จังหวัดละ 1 ราย และระยอง 3 ราย