บอร์ด สปสช. อนุมัติยา 3 รายการ แบบรับประทาน รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงรับเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาล
วันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข ภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ได้เห็นชอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพิ่มรายการยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง 3 รายการ ประกอบด้วย
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- เปิด 20 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ปี 2567
- กระทรวงเกษตรฯ ปลดล็อกการนำเข้าโคเนื้อ-กระบือจากประเทศเมียนมา
- ยาเคปไซตาบีน (Capecitabine) : ชนิดเม็ด
- ยาออกซาลิ พลาติน (Oxaliplatin) : ชนิดฉีด
- ยาอิริโนทีแคน HCL (Irinotecan HCl) : ชนิดฉีด
ยาดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มีผลตั้งแต่วันถัดไป (4 พ.ค.) นับจากวันที่บอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบ
ทั้งนี้ พญ.ประสบศรี กล่าวว่า ยาเคปไซตาบีน ชนิดเม็ด เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้แบบรับประทาน เพื่อให้ผู้ป่วยรักษาที่บ้านได้ จากแต่เดิมต้องมานอนรับเคมีบำบัดที่โรงพยาบาล ช่วยลดความเสี่ยงต่อโอกาสรับเชื้อโควิด-19 ให้กับผู้ป่วย โดยที่ประสิทธิผลการรักษาคงเดิม นอกจากนี้ ยังใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเต้านม
“ส่วนยาออกซาลิ พลาติน ชนิดฉีด เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้และมะเร็งกระเพาะอาหาร และ ยาอิริโนทีแคน HCL ชนิดฉีด เป็นยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วเช่นกัน” พญ.ประสบศรี กล่าว
นอกจากนี้ พญ.ประสบศรี กล่าวว่า บอร์ด สปสช. อนุมัติบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อใช้ทดแทนยาเดิม นอกจากมีประสิทธิผลที่ดีขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายรักษายังถูกลงกว่าเดิม
“ยาเคปไซตาบีนใช้รักษาร่วมกับยาออกซาลิ พลาติน จะช่วยลดระยะเวลาการนอนให้ยาในโรงพยาบาลได้ จาก 1 คืน เหลือเพียง 2 ชั่วโมง และผู้ป่วยจะได้รับยาเคปไซตาบีน ชนิดเม็ดกลับไปกินที่บ้าน ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 เป็นการลดโอกาสรับเชื้อจากโรงพยาบาล และลดภาระการดูแลผู้ป่วยของบุคลากรในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ในส่วนค่ารักษา หากรักษาตามสูตรเดิม จะมีต้นทุนค่ายารักษา 2.1 แสนบาทต่อคอร์ส แต่สูตรใหม่นี้จะลดต้นทุนค่าเหลือเพียง 1.2 แสนบาทต่อคอร์สเท่านั้น” พญ.ประสบศรี กล่าว