นินจาแวน ขยายโกดังรองรับการเติบโตตลาดส่งด่วน-อีคอมเมิร์ช

นินจ่าแวน โชว์โกดังใหม่ จ.สมุทรปราการ

นินจ่าแวน โชว์โกดังใหม่ จ.สมุทรปราการ ชี้อีคอมเมิร์ชยังเติบโตได้ถึง 3.5 หมื่นล้านบาท แม้แข่งขันสูง ยืนยันแข่งขันได้ด้วยระบบที่เป็นมิตรเข้าถึงง่าย

วันที่ 3 กันยายน 2565 นายเพียซ เอิง กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่การระบาดของโควิด 19 ที่เร่งให้เกิดการซื้อสินค้าออนไลน์ ประชากร 8 ใน 10 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำการซื้อสินค้าออกไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง ในขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนถึง 9 ใน 10 คน ในปรากฎการณ์นี้ทำให้มูลค่าการใช้จ่าย (GMV) เติบโตจาก ปี 2562 ที่ 5 พันล้านบาท เป็น 1.2หมื่นล้านบาท ในปี 2563 และเป็น 2.1หมื่นล้านบาท ในปี 2564 ซึ่งจากปี 2563-2564 อัตราการเติบโตของ GMV อยู่ที่ 68%

นินจาแวน

โดยการเติบโตดังกล่าวจะชะลอตัวลงจากการเปิดพรมแดน และสภาพเศรษฐกิจที่คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง อย่างไรก็ตามการชะลอตัวนี้ในระยะยาวยังเติบโตได้ กล่าวคือภายในปี 2568 มูลค่าการใช้จ่าย (GMV) จะโตจากปี 2564 14% หรือ 3.5หมื่นล้านบาท

“หากเราเข้าไปดูภาพรวมของแนวโน้ม GMV ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในปี 2568 มีสัดส่วนคือ 1.การเดินทางและอาหาร อยู่ที่ 5.2 พันล้านบาท 2.สื่อออนไลน์ 7.9พันล้านบาท 3.การท่องเที่ยวออนไลน์ (Online travel) อยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท ในขณะที่ด้าน อีคอมเมิร์ช อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท หมายความว่าเราในฐานะผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ยังมีโอกาสอีกมากที่จะทำธุรกิจ”

นินจาแวน ได้วางแผนมาตั้งแต่ปี 2563 สำหรับการรองรับการขยายขนาดของตลาดและตอบสนองผู้ใช้บริการในระยะยาว ได้จัดหาพื้นที่และจัดสร้างคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในไทย เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณพัสดุ โดยใช้พื้นที่ย่านบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่ใช้สอบ 20,000 ตร.ม. รองรับรถรับส่งพัสดุ 400 คัน รองรับปริมาณพัสดุ 800,000 ชิ้นต่อวัน มีระบบสายพานกึ่งอัตโนมัติช่วยคัดแยกพัสดุได้ 80,000 ชิ้นต่อ ชม. ทำให้สามารถขนส่งพัสดุได้เร็วขึ้น 4 ชม. มูลค่าการลงุทนเป็นความลับ

นายเพียซ ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการรุกตลาดขนส่งอีคอมเมิร์ชที่จะเติบโตขึ้น โดยกลยุทธ์สำคัญมี 3 ส่วนคือ

1.เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการทำงาน เป็นการนำเม็ดเงินลงทุนและเงินที่สะสมมาลงทุนกับระบบโดยตรง และเพื่อเพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้จัดส่งพัสดุ

2.ปรับระบบการส่งพัสดุแบบไม่ยุ่งยาก เป็นการเพิ่มความเร็วในการส่งพัสดุขึ้นอย่างน้อย 4-6 ชม. เพิ่มโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายกระจายสินค้าจาก 200 จุด เป็น 400 จุดในปีนี้ เพิ่มช่องทางการให้บริการตลอดจนการเพิ่มช่องทางการให้บริการจุด Ninja Points กว่า 16,000 จุดทั้งเฟรนไชส์และหน้าร้านของห้างหุ้นส่วน และ Ninja Biz เพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอี เช่น การมีระบบส่งก่อนจ่ายทีหลัง ระบบเก็บเงินปลายทางเพียง 1-2 วันทำการ ตรวจสอบการเก็บเงินปลายทางเรียลไทม์

3.สร้างการมีส่วนร่วม ผ่านโซเชียลมีเดียอีเว้นท์ และระบบ Ninja Reward เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ

นายประกาศเกียรติ ศิริอ่อน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นินจาแวน ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากได้ทำกิจกรรม “นินจาพาดัง” และ “สุ่มเลข Track แจกเป็นล้าน” เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้รับผลตอบรับด้านการมีส่วนร่วมที่ดีทำให้ลูกค้าทั่วไปเริ่มค้นหาและรู้จักนินจาแวนมากขึ้น

“ที่ผ่านมานินจาแวน ได้ทำธุรกิจขนส่งพัสดุแบบ B2B ทำให้ลูกค้าทั่วไปไม่เจอแบรนด์เรามากนัก แต่เมื่อเราเล็งเห็นว่าอีคอมเมิร์ชจะยังเติบโต และการขนส่งพัสดุสำหรับลูกค้าทั่วไปจะต้องเติบโต ธุรกิจขนส่งพัสดุเป็นธุรกิจหลักของเราดังนั้นเราจึงต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีคนเห็นแบรนด์ของเราเห็นสีของเราทั้งจากโซเชียลมีเดีย และหน้าร้านพาร์ทเนอร์ Ninja Point กว่า 16,000 แห่ง”

นอกจากนี้ นายเพียซ ยังได้พูดถึงบรรยากาศการแข่งขันในตลาดขนส่งพัสดุอีกด้วยว่า สำหรับประเทศไทยบรรยากาศการแข่งขันหนี้ไม่พ้นเรื่อง “สงครามราคา” ซึ่งไม่ค่อยส่งผลดีต่อผู้ประกอบการมากนัก

“ต่างประเทศเช่นเวียดนาม ก็ไม่ได้แข่งขันราคากันสูงขนาดนี้ ผมคิดว่าสาเหตุมาจากผู้เล่นหลายคนเห็นตรงกันจากข้อมูลว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมาก ซื้อของมาก เขาเห็น Potential ของตลาดนี้จึงต่างมาแข่งขันกันที่นี่ทำให้มีการแข่งขันสูงกว่าที่อื่น”

นายเพียซ กล่าวว่า นินนจาแวน ยังอยู่ในลำดับที่ 5 จากการแข่งขันในตลาดไทย ซึ่งเป็นการจัดอันดับจากการรีเสิร์ชของนินจาแวน นอกจากนี้ นายเพียช ยังกล่าวด้วยว่า ด้วยกลยุทธ์ทั้ง 3 อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จะสร้างความเป็นมิตรเข้าถึงง่ายและมีการจัดการที่ดี ทำให้เกิดความนิยม ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความยั่งยืนเพื่อสู้กับความไม่แน่นอนของตลาดและปัญหาเศรษฐกิจ และยืนยันว่าการลงทุนสร้างคลังสินค้าใหญ่ครั้งนี้ไม่ใช่การลงทุนสวนกระแสตกต่ำของเศรษฐกิจโลก แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างมูลค่าต่อไปในอนาคต