ผู้บริหารระดับสูงของ “Spotify” ตัดสินใจลาออก หลังบริษัทปลดพนักงานรอบ 3 ของปีอีก 1,500 คน เหตุประสบปัญหาด้านการจัดการค่าใช้จ่าย
วันที่ 8 ธันวาคม 2566 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นายพอล โวเจล (Paul Vogel) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของยักษ์แพลตฟอร์มสตรีมเพลง “สปอติฟาย” (Spotify) ตัดสินใจลาออกจากบริษัท และจะดำรงตำแหน่งถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2566
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บุคคลนามสกุลดัง “ภัทรประสิทธิ์” ถูกฟ้องล้มละลาย
ก่อนหน้านี้ นางสาวทัช อลาวี (Taj Alavi) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัทเช่นกัน และจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวถึงเดือน ก.พ. 2567 ซึ่งก่อนที่นางสาวอลาวีจะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่ Spotify เคยทำงานที่อูเบอร์ (Uber) และ Chime Financial มาก่อน
ทั้งนี้ การลาออกของผู้บริหารทั้งสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดขึ้นหลังจาก Spotify ปรับลดพนักงานกว่า 1,500 คน (17% ของพนักงานทั้งหมด) เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มพนักงานที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นพนักงานในธุรกิจพอดแคสต์และหนังสือเสียง
อย่างไรก็ตาม Spotify กำลังตามหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และในระหว่างนั้นบริษัทจะให้นายเบน กัง (Ben Kung) รองประธานฝ่ายการวางแผนและการวิเคราะห์ทางการเงินรับหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวชั่วคราว
ในการปรับโครงสร้างใหม่ของ Spotify นายมาร์ก ฮาซาน (Marc Hazan) หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจพรีเมี่ยมระดับโกลบอล จะทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ ควบคุมการทำงานฝ่ายการตลาด ในขณะที่นายโรมัน เวเซ่นมุลเลอร์ (Roman Wasenmüller) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์จะทำงานขึ้นตรงกับธุรกิจพอดแคสต์มากขึ้น
รายงานระบุด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2563-2565 Spotify ขยายการทำงานในธุรกิจพอดแคสต์และหนังสือเสียง (Audio Books) มากขึ้น และตัดสินใจเพิ่มจำนวนพนักงานในหน่วยธุรกิจดังกล่าวเพิ่มเป็น 2 เท่า แต่ผลลัพธ์จากการดำเนินงานกลับไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
การผลักดันในธุรกิจพอดแคสต์และหนังสือเสียงครั้งใหญ่ ทำให้ Spotify กำลังประสบปัญหาด้านการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย รวมถึงยังต้องเผชิญกับปัญหาจากเงื่อนไขข้อตกลงของใบอนุญาตกับผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงอีกด้วย
ในปี 2566 Spotify ปลดพนักงานไปแล้ว 3 ครั้ง โดยในเดือน ม.ค. และ มิ.ย. ได้ปรับลดพนักงาน 6% และ 2% ของจำนวนพนักงานขณะนั้นตามลำดับ อีกทั้งในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา Spotify ยังได้ประกาศปรับขึ้นราคาแพ็กเกจพรีเมี่ยมทั่วโลกอีกด้วย