หลังประกาศวิสัยทัศน์ธุรกิจปี 2562 เสร็จสิ้นในช่วงเช้า “เอไอเอส” ตามด้วยการโชว์เคสเทคโนโลยีทั้ง 5G, โรบอต, ไอโอที, ดิจิทัลโซลูชั่น เพื่อให้เห็นการประยุกต์ใช้งาน ภาคบ่ายยังมีงานสัมมนา “AIS ACADEMY for THAIs : Intelligent Nation Series” เติมความรู้ความเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัล
หนึ่งในนั้น คือ ผู้ก่อตั้ง “เน็ตฟลิกซ์” (Netflix) ยักษ์วิดีโอสตรีมมิ่งระดับโลก “มิทช์ โลว์” ผู้ก่อตั้ง Netflix ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านคลิปวิดีโอในหัวข้อ “How Netflix Disrupted the Entertainment Wolrd” เล่าถึงจุดเริ่มต้นจนถึงความสำเร็จ หลักคิดการบริหารจัดการองค์กรและทีมเวิร์ก
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
“ประชาชาติธุรกิจ” นำมาถ่ายทอด ดังนี้เริ่มต้นจากอยากแก้ปัญหาผู้ก่อตั้ง “Netflix” เล่าว่า ตอนที่เริ่มก่อตั้งเน็ตฟลิกซ์เมื่อ 20 ปีก่อน ก็เพื่อแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคที่รักการดูหนัง แต่มีข้อจำกัดที่ดูได้แค่หนังที่มีขายหรือให้เช่าในร้านดีวีดีเท่านั้น พวกเขาจึงคิดบริการส่งดีวีดีหนังหลากหลายประเภทให้ถึงบ้าน แม้รู้ว่าท้ายที่สุดโลกบันเทิงจะเปลี่ยนเป็นระบบ “ดิจิทัล” แต่ด้วยข้อจำกัดของ bandwidth ยุคนั้น พวกเขาจึงเลือกใช้วิธีส่งไปตามบ้านแทน และเป็นจุดกำเนิดบริการให้เช่าดีวีดีบนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก และเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญของอุตสาหกรรม
ก้าวสู่ยุคสตรีมมิ่ง
10 ปีต่อมา เทคโนโลยีพัฒนาจนให้บริการสตรีมมิ่งผ่านแล็ปทอปหรือสมาร์ททีวีได้ ซึ่ง Netflix ใช้เวลา 2-3 ปีในการให้การศึกษากับผู้บริโภคเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนเริ่มให้บริการสตรีมมิ่งอย่างจริงจังในปี 2008 และขยายไปต่างประเทศในอีก 2 ปีต่อมา
ช่วงเวลานี้เองที่ “มิทช์” พบว่าการที่บริษัททุ่มเทจ้างพนักงานที่ดีที่สุดมาโดยตลอดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะพนักงานเหล่านั้นต่างพยายามหาวิธีที่จะพัฒนาบริการและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าตลอดเวลา เช่น หากดูซีรีส์ผ่านช่องเคเบิลทั่วไปอย่าง Comcast เวลาอยากดูตอนต่อไป ลูกค้าต้องกดเมนูกลับไปที่หน้าแรก แล้วจึงค้นหาตอนที่ต้องการ แต่ถ้าดูหนังผ่าน Netflix จะรับชมตอนต่อไปได้ทันทีไม่มีสะดุด
ปัญหา “เล็ก ๆ” ที่คอยกวนใจลูกค้าในชีวิตประจำวันเหล่านี้ อาจดูเป็นเรื่องพื้น ๆ แต่คู่แข่งมักมองข้าม ทำให้ Netflix สร้างความแตกต่างได้อย่างโดดเด่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า รักในตัวบริการ และเริ่มบอกต่อในกลุ่มเพื่อน
“มิทช์” บอกว่า ทุกวันนี้ทุกคืนวันศุกร์ 1 ใน 3 ของ bandwidth ในอเมริกาจะใช้โดยลูกค้า Netflix นั่นหมายถึงดาต้ามหาศาลที่ช่วยให้เข้าใจรสนิยม ความชอบของลูกค้าได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันบริษัทให้บริการกว่า 130 ประเทศ เกือบครึ่งอยู่นอกอเมริกาและเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโต
“มิทช์” เล่าว่า “รีด เฮสติงส์” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Netflix เคยถูกถามว่า “ใครคือคู่แข่งที่สำคัญที่สุด” แทนที่จะตอบว่า Amazon prime หรือผู้ให้บริการรายอื่น “รีด” กลับตอบว่า “การนอนคือคู่แข่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นเวลาที่คนไม่ดู Netflix”
ปีนี้ปีเดียวบริษัททุ่มงบฯกว่า 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลิต “ออริจินอลคอนเทนต์” ตอกย้ำว่าทุ่มเทอย่างมากเพื่อสร้างตัวเลือกที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค
“คน 4 แบบ” กุญแจความสำเร็จ
กุญแจสู่ความสำเร็จของ Netflix ที่แท้จริง คือการเห็นความสำคัญของการจ้างพนักงานที่ดีที่สุดมาร่วมงานและฟูมฟักให้เติบโต, สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างเสริมกำลังใจ มีการตอบแทนที่เหมาะสม กระตุ้นให้มุ่งมั่นทำงาน รวมถึงทีมผู้บริหารที่พร้อมยืนอยู่ขอบสนามและปล่อยให้ลูกน้องแสดงฝีมืออย่างมีอิสระ
การเลือกพนักงานที่ดี “มิทช์” บอกว่า หมายถึงการหาคนที่ 1.รู้ว่าการกระทำของตนเองจะส่งผลต่อผู้อื่นหรือเพื่อนร่วมงานอย่างไร 2.สามารถเป็นผู้นำ 3.มีความรักในธุรกิจของบริษัท และ 4.พยายามพัฒนาศักยภาพ และความรู้ตนเองให้ฉลาดขึ้นและเก่งขึ้นทุกวัน
และเพื่อสร้าง innovative disruption บริษัทจำเป็นต้องเริ่มจากขั้นตอนแรก ได้แก่ การจ้างพนักงานที่ดีและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
ประการต่อมา คือ สร้างวัฒนธรรมที่เอื้อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ “มิทช์” ย้ำว่า “คุณไม่สามารถบอกให้ใครทำอะไรได้ ไม่มีใครทำงานออกมาได้ดี หากมีคนคอยบอกตลอดเวลาว่าต้องทำอย่างไร”
สิ่งที่ “ผู้นำ” ต้องมี คือ กลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจน ให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าบริษัทต้องการไปถึงจุดใด แต่ไม่ต้องบอกวิธีทำ ให้อิสระแก่พนักงานคิดนอกกรอบ มองหาวิธีการที่คนส่วนใหญ่อาจไม่กล้าคิดหรือกล้าทำมาก่อน ผู้นำที่ดีควรสอนให้ลูกน้องปรารถนาอยากได้สิ่งนั้นอย่างแรงกล้ามากกว่า
นั่นคือ “วิธีที่คุณจะสร้างบริษัทแบบ Netflix ที่สามารถ disrupt ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Amazon, Blockbuster, Fox และ Universal ได้”
ในแง่ของการตอบแทนพนักงาน “มิทช์” มองว่า “บริษัทไม่ควรให้รางวัลกับคนที่ทำงานหนัก แต่ควรตอบแทนคนที่ผลงานมากกว่า”
ที่ Netflix มีนโยบายให้พนักงานลางานได้ไม่จำกัดตราบใดที่พนักงานทำงานได้สำเร็จ ดังนั้น ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หากทำงานได้ดีบริษัทจะมีรางวัลและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่สำหรับคนที่ดูเหมือนทำงานหนัก แต่ไม่มีผลงาน บริษัทจะไม่เก็บเอาไว้เช่นกัน
อย่าประมาทคู่แข่ง
“มิทช์” กล่าวว่า มีบริษัทขนาดใหญ่ในวงการบันเทิงหลายรายอย่าง Blockbuster ที่เคยมองสตาร์ตอัพอย่าง Netflix ว่าไม่มีทางแข่งกับพวกเขาได้ หากใครเคยมีความคิดเช่นนี้กับคู่แข่ง ขอให้เปลี่ยนโดยเร็วเพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่มีทางที่ธุรกิจไหนจะปลอดภัยหรือมั่นใจตลอดเวลา องค์กรจึงต้องมองหาหนทางใหม่ในการพัฒนาบริการของตนเองตลอดเวลา
หากวันนั้นผู้บริหาร Blockbuster มองลูกค้าเป็นศูนย์กลางและพยายามหาทางมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้น เขาคงไม่ปรามาสสตาร์ตอัพอย่าง Netflix
อย่ามองข้าม “ปัญหาเล็ก ๆ”
มีบริษัทขนาดใหญ่อีกหลายแห่งล้มเหลวเพราะผู้บริหารและพนักงานขาดความกล้าและความพยายามแก้ปัญหาลูกค้า ในขณะที่ทุกวันนี้มีบริษัทระดับยูนิคอร์นที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ บริษัทเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพื่อแก้ “ปัญหาเล็ก ๆ” ทั้งนั้น เช่น Airbnb หรือ Uber บริษัทเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดการ disruption เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตผู้บริโภคดีขึ้น
ดังนั้น หากอยากประสบความสำเร็จ องค์กรควรพยายามมองหาแนวทางในการพัฒนาบริการหรือระบบการทำงานให้สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกขั้นตอนอยู่เสมอ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้พนักงานมีอิสระและศักยภาพในการแก้ปัญหา ทั้งจากมุมมองของลูกค้าภายนอกและการทำงานภายในองค์กรเอง
“มิทช์” ทิ้งท้ายว่า “จงอย่ากลัวที่จะตัดสินใจพลาด เพราะการทำผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม”
“สิ่งที่ต้องมี คือ ทีมที่ไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ และผู้บริหารที่สามารถสร้างวัฒนธรรมที่ให้โอกาสลูกทีมทำผิดพลาดได้”