แอนิเทคปั้น IoT เสริมพอร์ต เล็งดึงดาต้าต่อยอดบริการ

แอนิเทครุกตลาดอุปกรณ์ IoT ประเดิม “ปลั๊กไฟ H1000” พร้อมปรับพอร์ตสินค้าเพิ่มน้ำหนัก IoT เล็งนำดาต้าต่อยอดสร้างบริการใหม่

นายพิชเยนทร์ หงส์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบรนด์ “แอนิเทค” (anitech) เปิดเผยว่า สินค้าแอนิเทคมีกว่าพันรายการ แต่มีสินค้า IoT ไม่ถึง 1% จึงเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ให้มากขึ้น เพื่อเป็น “first mover” ในไทยและอาเซียน

ล่าสุดเปิดตัว “ปลั๊กไฟ anitech IOT รุ่น H1000” ก่อนเร่งพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ เป็น IoT เพื่อเพิ่มสัดส่วนสินค้า IoT ในพอร์ตให้เป็น 10% ใน 3 ปี และ 50% ใน 10 ปีข้างหน้า

“ปลั๊กไฟ IoT เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 2,000 ล้านบาท และยังไม่มีสินค้า IoT เข้ามา เราเคยทำปลั๊ก IoT ตั้งแต่ปี 2560 พัฒนาร่วมกับทีมจากจีน แต่มีปัญหาล่าช้าจึงหันมาใช้ทีมไทยทั้งหมดทำให้สบายใจว่าข้อมูลจะไม่อยู่ในมือต่างชาติ ตั้งเป้าว่าสิ้นปีมียอดขาย 5,000 ชิ้น”

ขณะที่ยอดขายรวมทั้งปีคาดว่ามีรายได้ไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มี 330 ล้านบาท และเตรียมงบประมาณด้านการตลาดปีนี้ 45 ล้านบาท เน้นการพัฒนานวัตกรรม โดยเวอร์ชั่นถัดไปจะพัฒนาแอปพลิเคชั่นรองรับการสั่งการด้วยเสียงผ่าน Google Home หรือ Amazon Alexa น่าจะพร้อมใช้ใน ส.ค.นี้ ทั้งมีเป้าหมายจะนำข้อมูลที่ได้จาก IoTไปต่อยอดบริการใหม่ ๆ

Advertisment

“ในปีหน้าทั่วโลกจะมีอุปกรณ์ IoT กว่า 50,000 ล้านชิ้น มีมูลค่า 200,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาด IoT ไทยพร้อมแค่ในเมือง คู่แข่งจากต่างประเทศยังมีข้อจำกัดด้านภาษา และต้องมี มอก. ต่อไปตลาด IoT จะเป็นตลาดสำคัญสำหรับนักพัฒนาไทยในการสร้างรายได้และเติบโตในอนาคต เพราะใน 10 ปี IoT จะเป็นพื้นฐานของอุปกรณ์ในบ้าน”

สำหรับตลาดเป้าหมายของผลิตภัณฑ์กลุ่ม IoT เน้นทั้ง B2C และ B2B โดยในส่วน B2C ที่ต้องกระจายถึงผู้บริโภคนั้น มีช่องทางจำหน่ายกว่า 8,000 ร้านค้า รวมถึงช่องทางออนไลน์ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนตลาด B2B ยังต้องพัฒนาซอฟต์แวร์หลังบ้านร่วมกัน โดยมุ่งที่กลุ่มธุรกิจ logistics, smart city, retail, factory, food, hospital, smart building โดยได้เริ่มทดสอบการทำงานกับ partner ธุรกิจร้านอาหารที่มีสาขาทั่วประเทศ