เลขา “กสทช.” แจงยิบแจก “เน็ตฟรี” บีบค่ายมือถือเพื่อประชาชน ชี้ถ้าสั่งเลื่อนจ่ายค่าบริการ “ลูกค้าเติมเงิน” 124 ล้านรายจะไม่ได้ประโยชน์ 

เข้าสู่วันที่ 2 แล้ว ที่ “กสทช.” สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดให้กดรับสิทธิ์ “เน็ตฟรี 10 GB” ตั้งแต่เวลา 8.00 น. วันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา (คลิกอ่าน : เช็คที่นี่! วิธีลงทะเบียน รับ “เน็ตฟรี” เริ่ม 10 เม.ย. 8 โมง)

แต่ล่าสุด “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการ กสทช. หัวเรือใหญ่ในการผลักดันโครงการนี้ ได้ตอบข้อสงสัยของ “สุภิญญา กลางณรงค์” อดีตกรรมการ กสทช.  ที่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า โครงการนี้กล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า  “… ของฟรีไม่มีในโลกจ้า อยู่ที่ใครจ่าย ใครได้ใครเสีย … ต่อให้ กสทช.มีเกณฑ์การจ่ายเงินให้ค่ายมือถืออย่างโปร่งใส​จริง ก็ไม่ได้เป็นนโยบายที่น่าภูมิใจนักในยามนี้ เพราะเอื้อเอกชนทุนใหญ่​ เป็นการใช้เงินสาธารณะ​จำนวนสูงมาก ในขณะที่​เงินก้อน​นี้สามารถไปใช้อย่างอื่นได้เป็นประโยชน์​มากกว่า…” (คลิกอ่านรายละเอียดทั้งหมดที่นี่)  

โดยเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า รู้สึกเสียกำลังใจในการต่อสู้และดำเนินงานโครงการแจกเน็ตมือถือ 10 GB และอัพสปีดเน็ตบ้านเป็น 100 Mbps เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก  โครงการนี้สืบเนื่องมาจาก กสทช. ต้องการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเพื่อลดความจำเป็นของประชาชนในการออกนอกบ้าน เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19

ถึงกระนั้น ประชาชนทุกคนยังมีความจำเป็นในการทำงานหารายได้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว การจำต้องอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อนั้น ย่อมทำให้มีการติดต่อสื่อสารผ่านระบบโทรคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโทรศัพท์มือถือมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องมีบริการโทรคมนาคมที่เพียงพอเพื่อรองรับ นับแต่ที่รัฐบาลมีนโยบาย ‘อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ’ ปรากฏว่ามีประชาชนได้รับความเดือดร้อนและร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมากว่า รัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับที่เพียงพอสำหรับการทำงานจากที่บ้าน หลายคนต้องทำงานโดยไม่มีคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรือแทปเล็ต ส่วนใหญ่จึงต้องใช้อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือเพื่อทำงานสร้างรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SME ขนาดเล็กที่มีหลายล้านคน

“หากจะถามว่าใครได้รับผลประโยชน์จากมาตรการเพิ่มเน็ตมือถือให้ประชาชน  ผมขอเรียนยืนยันว่าเป็นประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุด สำหรับรัฐบาลและ กสทช. ก็มีหน้าที่ดำเนินการโครงการอย่างโปร่งใส ส่วนข้อสงสัยที่ว่าผู้ประกอบการโทรคมนาคมได้ประโยชน์หรือไม่ ผมเสนอให้ไปถามผู้ประกอบการโทรคมนาคมเองจะดีกว่า ถ้าได้คำตอบแล้วให้แจ้งมายังรัฐบาลและ กสทช. ด้วย”

รายละเอียดของการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้

1.โครงการนี้เป็นการเพิ่มเน็ตมือถือให้กับประชาชน 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์ โดยเพิ่มให้กับประชาชนที่ใช้ซิมเดิมที่เปิดใช้กันอยู่แล้ว จำนวน 10 GB ใช้งานได้ 30 วัน

สำหรับราคาแพ็คเกจที่ค่ายมือถือขายอยู่ในปัจจุบัน  เน็ต 5 GB ใช้งานได้ 7 วัน ขายอยู่ที่ 299 บาท ถ้า 8 GB ใช้งานได้ 30 วัน ขายอยู่ 599 บาท

“วันนี้ รัฐบาลและ กสทช. เพิ่มเน็ตมือถือให้ประชาชน 10 GB ใช้งานได้ 30 วัน โดยจ่ายเงินให้ค่ายมือถือเพียง 100 บาท แสดงว่า ภายในระยะ 1 เดือนนับแต่ที่กดรับสิทธิ์ไป ประชาชนไม่ต้องเสียเงินตนเองเติมเงินซื้อแพ็คแกจกับค่ายมือถือเลย กลับมีเน็ต 10 GB ใช้ โดยรัฐจ่ายเงินแทนในราคาที่ต่ำกว่าที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับค่ายมือถือเอง อธิบายแบบนี้แล้ว ผมหวังว่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าใครกันแน่ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ การตั้งคำถามชี้นำที่มีธงในใจว่าใครได้ใครเสียแบบนี้ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และบั่นทอนกำลังใจของผู้ทำงานเป็นอย่างยิ่ง”

2.ข้อสงสัยที่ว่ามาตราการนี้เกือบกับเป็นการแจกเงินฟรีให้กับค่ายมือถือหรือเอื้อนายทุนใหญ่นั้น

“ผมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ในทางตรงกันข้าม นโยบายนี้ทำให้ค่ายมือถือมีรายได้ลดลงกว่า 4-5 เท่า เพราะหากประชาชนจ่ายเงินซื้อแพ็คเกจ 10 GB เอง จะต้องเสียเงินเฉลี่ย 599 บาท แต่มาตรการนี้กลับบังคับให้ค่ายมือถือต้องรับเงินเพียง 100 บาท จาก กสทช. เท่านั้น ส่วนต่าง 499 บาท ที่หายไปจึงตกเป็นภาระของค่ายมือถือเอง”

3.เดิมรัฐบาลและ กสทช. ยืนยันให้ค่ายมือถือดำเนินมาตรการนี้อย่างน้อย 3 เดือน แต่ค่ายมือถือปฏิเสธ เพราะไม่อาจรับภาระได้มากกว่า 1 เดือน จึงขอให้ความร่วมมือในการสนับสนุนโครงการ Work from Home ของรัฐบาล ร่วมมือกับ กสทช. เพียง 1 เดือนเท่านั้น เดือนที่ 2 – 3 ขอไม่สนับสนุน การปฏิเสธของค่ายมือถือข้างต้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ค่ายมือถือเสียประโยชน์จากมาตรการนี้เต็มๆ

4.ประชาชนทราบหรือไม่ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรวม 127 ล้านเบอร์ แบ่งเป็นแบบรายเดือนประมาณ 3 ล้านกว่าเบอร์ คิดเป็น 2.4 % เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 97.6 % เป็นแบบเติมเงินทั้งสิ้น

มาตรการเพิ่มเน็ตมือถือ 10 GB นี้ มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง ตามเม็ดเงินที่ กสทช. มีอยู่ จึงเน้นที่เบอร์มือถือแบบเติมเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มส่วนใหญ่ที่ได้รับความเดือดร้อน

ต่อคำถามที่ว่า เหตุใดจึงไม่เลือกวิธีการเลื่อนการชำระเงินค่ามือถือออกไป 2 – 3 เดือน เหมือนค่าไฟฟ้าและค่าประปา ขอตอบว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดบริบท เนื่องจากการชำระเงินค่าไฟฟ้าและประปานั้น ไม่มีระบบเติมเงินเหมือนของมือถือ มีเฉพาะระบบใช้แล้วจ่ายเป็นรายเดือนเท่านั้น หากนำแนวทางการเลื่อนชำระหนี้มาใช้ จะมีประชาชนที่เป็นผู้ใช้บริการมือถือแบบรายเดือนที่ได้รับประโยชน์เพียง 2.4% เท่านั้น ส่วนกลุ่มเติมเงินอีกกว่า 97.6% จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเลื่อนชำระหนี้เลย

5.ในการพิจารณาดำเนินการ รัฐบาลและกสทช. มีความห่วงใยมาโดยตลอดว่า มาตรการนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับค่ายมือถือหรือไม่ จึงออกแบบมาตรการนี้โดยพิจารณาอย่างรอบคอบจากทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจว่ามาตรการจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น เมื่อได้อ่านข้อวิจารณ์ดังกล่าว สำนักงาน กสทช. จึงสามารถชี้แจงที่มาและเหตุผลของมาตรการนี้ได้ทันที

ท้ายที่สุด สำนักงาน กสทช. เชื่อว่าการรับมือกับวิกฤต covid-19 จำเป็นต้องดำเนินการแบบเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหา  ขอขอบคุณและน้อมรับคำวิจารณ์ต่างๆ ที่เป็นไปในทางเชิงสร้างสรรค์ เพื่อปรับปรุงโครงการเพิ่มเน็ตมือถือให้ประชาชน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป