เทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพ ที่วันนี้ควรต้องมี

คอลัมน์ Pawoot.com
คอลัมน์ Pawoot.com
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

ต่อเนื่องจากบทความครั้งก่อน ในฝั่งของสตาร์ตอัพมีนวัตกรรมหลายอย่างเข้ามาช่วยแก้ปัญหาวิกฤตโควิด โดยเฉพาะเรื่องของชีวิตและสุขภาพ การรักษาพยาบาลต่าง ๆ ฯลฯ

เทคโนโลยีที่น่าสนใจในเชิง telehealth ในเชิงของอุปกรณ์ IOT เริ่มเข้ามามีบทบาทมาก ดูจากที่หลายคนเก็บนาฬิกาหรูไปใช้สมาร์ทวอตช์ เช่น AppleWatch, Garmin, ระบบแอนดรอยด์ เช่น พวก Samsung, Huawei ฯลฯ

คนที่ปฏิวัติพวกสมาร์ทวอตช์คือ Xiaomi เพราะเมื่อก่อนนาฬิกาที่เก็บข้อมูลสุขภาพราคาหมื่นสองหมื่นบาท จนเสี่ยวหมี่ออก Mi Band ที่เก็บพฤติกรรมของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินการนอนหลับ

ล่าสุดวัดปริมาณออกซิเจนได้ ราคาพันกว่าบาท ยิ่งเวอร์ชั่นหลัง ๆ ยิ่งเก่งขึ้น ถ้าสนใจผมแนะนำว่า Mi Band 6 ราคา 1,090 บาท ซื้อได้ทางออนไลน์

เก็บได้ทุกอย่าง คือ 1.วัดการเดินได้ทุกก้าวทันที 2.เก็บข้อมูลการนอนใส่นอนได้เลย ชาร์จครั้งหนึ่งอยู่ได้นานเป็นอาทิตย์ เขาใช้เทคโนโลยีที่เหมือนกับการส่งแสงลงมาตรงผิวหนังของเราที่มีการไหลผ่านของเส้นเลือดตรงข้อมือ บอกการเต้นของหัวใจได้

ยิ่งตัวใหม่ยังวัดค่าออกซิเจนได้ด้วย ราคาไม่แพง ใส่นอน ใส่กระโดดเล่นน้ำได้เพราะกันน้ำได้ดีมาก เป็นตัวหนึ่งที่ผมว่าช่วยให้รู้สุขภาพตัวเองได้ ผมใส่มาหลายปีแล้ว

ในวันที่ผมป่วยผมกลับไปดูย้อนหลังได้ว่าทำไมป่วย อาการผมเริ่มไม่ดียังไงบ้าง จากข้อมูลย้อนหลัง ทั้งยังมีอุปกรณ์อื่นที่เสริมเข้าไปอีก เช่น ตาชั่งที่ไว้ชั่งน้ำหนัก หรือ scale ราคาตอนนี้ไม่ถึงพันแล้ว

ชื่อ Mi Scale เมื่อชั่งน้ำหนัก ข้อมูลน้ำหนักจะส่งขึ้นไปอยู่บนคลาวด์และซิงก์ไปอยู่ในระบบ จะรู้ว่าน้ำหนักคุณเป็นยังไงบ้าง ผมใช้มาหลายปีโดยตั้งไว้ในห้องน้ำเลย หรือเอาไว้บริเวณที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้

ถ้าเราชั่งทุกวันเราจะเห็นแนวโน้มสุขภาพของเราว่าเป็นอย่างไร จะเห็นค่า BMI (body bass index) หรือดัชนีน้ำหนักมวลร่างกายของเรา ดูน้ำหนักกระดูก มวลน้ำในร่างกายได้เลยดูได้ละเอียดขนาดนี้เลย

เราที่เคยใช้เครื่องชั่งน้ำหนักแบบเก่าแบบเข็มต้องอาศัยการจำหรือต้องจดลงกระดาษ หากใช้ตาชั่งที่เป็นดิจิทัลคุณเห็นแล้วลืมไปได้เลยว่าข้อมูลน้ำหนักเท่าไหร่ ข้อมูลต่าง ๆ พวก BMI ทั้งหลาย มันจะเก็บไว้บนคลาวด์กลับไปดูย้อนหลังได้หมด

ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่เป็นผู้บริหารหรืออื่น ๆ ตอนนี้ยิ่งเราอายุเยอะขึ้น หากเริ่มแทรกสุขภาพ ณ วันนี้ คือ ใส่พวกนาฬิกาสมาร์ทวอตช์ อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยเก็บข้อมูลสุขภาพของเรา

ที่เมืองนอก หมอบางแห่งจะถามเลยว่าคุณใส่ smart watch หรือเปล่า เขาจะกลับไปดูข้อมูลสุขภาพย้อนหลังผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ได้หมดเลย

หากใครใช้ Apple Watch ตอนนี้ก็เก่งมาก ผมซื้อให้คุณพ่อใช้ เพราะมีฟังก์ชั่นหนึ่ง เมื่อมีการล้ม Apple Watch จะตรวจจับการล้มได้

และจะทำการส่งข้อมูลแจ้งไปยังคนที่ตั้งการเตือนไว้แค่คุณพ่อของผมมือไปฟาดมันก็แจ้งให้ทราบซึ่งดีมาก ทำให้มีการช่วยเหลือได้ทันท่วงที เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยชีวิตคนได้

Apple Watch รุ่น 6 มีความสามารถคือ ECG ก็คือวัดการเต้นหัวใจได้ ซึ่ง ECG จะวัดได้ดีมากกว่าปกติ จุดเด่นคือวัดการเต้นหัวใจพลิ้ว คือการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ซึ่งจะทำให้เกิดโอกาสการสร้างลิ่มเลือด

อาจทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ อาการเหล่านี้คุณตรวจก่อนได้ บางครั้งการเกิดอาการหัวใจพลิ้วมันไม่รู้หรอก ต้องไปติดอุปกรณ์เฝ้าดูข้ามวันข้ามคืนถึงจะเจออาการ แต่การใส่ Apple Watch สามารถตรวจสอบได้ระดับหนึ่งแล้ว สมาร์ทวอตช์หลาย ๆ ตัวมีความสามารถนี้

คุณผู้อ่านหลายคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผมเป็นห่วงจริง ๆ นะครับ เราควรมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ฉะนั้นเปลี่ยนสุขภาพเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหาหมอ เราป้องกันได้โดยการเก็บข้อมูลสุขภาพของเราโดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ตอนนี้ราคาก็ไม่แพง คุ้มค่ากว่าการที่เราไปเจอทีหลังว่าสุขภาพแย่

ผมแนะนำว่า 1.หากคุณใช้ไอโฟนและอายุมาก ควรซื้อ Apple Watch ที่ความสามารถ EKG ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแบบผ่อนได้ด้วย 2.ตัวชั่งน้ำหนัก หรือ scale ซื้อไปเถิดเวิร์กมากมันสามารถซิงก์ข้อมูลเก็บได้หมดแล้ว

บางรุ่นเก็บค่าออกซิเจนได้ด้วย ยิ่งตอนนี้การที่จะเป็นโควิดอาการที่จะมาก่อนก็คือ อัตราออกซิเจนต่ำลง สมาร์ทวอตช์พวกนี้จะจับข้อมูลได้ก่อน

ถึงจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์ค่ายเดียวกันก็เชื่อมข้อมูลได้ สมาร์ทวอตช์เกือบทุกรุ่นcross กันได้ มีปัญหาแค่ค่ายเดียวคือ Apple Watch จะไปใช้ค่ายอื่นไม่ได้เลยเท่านั้นครับ