บ.ฟาร์มสุข ร่วมทุน โบนันซ่า ปลูกไม้ดอก 100 ไร่ ป้อนสปา-อุตฯเครื่องสำอาง

ฟาร์มสุข

“ฟาร์มสุขดอกไม้ไทย” ของเกษตรกรรายใหญ่ จับมือ “ไพวงษ์ เตชะณรงค์” เจ้าของอาณาจักรโบนันซ่า ร่วมทุนบนที่ดิน 100 ไร่เขาใหญ่ ตั้งฐานผลิตไม้ไทยโบราณป้อนอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง-เวชภัณฑ์-ธุรกิจเวลเนส เตรียมตั้งวิสาหกิจชุมชนโคราช ปั้นรายได้ปีละ 600 ล้านบาท เล็งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดร.ถนอมวรรณ สิงห์จุ้ย เจ้าของ บริษัท ฟาร์มสุขดอกไม้ไทย จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร ผู้ปลูกและจัดจำหน่ายดอกไม้ไทย ใบไม้กินได้ และตกแต่งบนจานอาหารให้กับโรงแรมและร้านอาหารขนาดใหญ่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าขณะนี้บริษัทมีแผนขยายกิจการ โดยร่วมทุนกับนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของอาณาจักรโบนันซ่า เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้โปรเจ็กต์ใหม่ชื่อว่า “farm Suk @ โบนันซ่า”

โดยโบนันซ่านำที่ดินขนาด 100 ไร่บริเวณเขาใหญ่เข้าร่วมโครงการ เพื่อปลูกไม้ไทยโบราณ เช่น กรรณิการ์ กันเกรา นมแมว ฯลฯ พร้อมนำผลผลิตทั้งหมดมาเป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ และธุรกิจเวลเนส ซึ่งจะแปรรูปเป็นกลิ่นเครื่องหอมต่าง ๆ พร้อมป้อนผลิตภัณฑ์ให้กับโรงแรมและร้านอาหารในเครือโบนันซ่า เช่น พาโค่ เขาใหญ่ บาย โบนันซ่า และในอนาคตจะนำโปรเจ็กต์ผึ้งชันโรงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ดังกล่าวด้วย

บริษัทมีลูกค้ารองรับไว้หมดแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะวางจำหน่ายทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างรายได้เดือนละ 50 ล้านบาท หรือ 600 ล้านบาทต่อปี และตั้งเป้าจะสร้างผลกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 10% พร้อมผลักดันให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายในปี 2577 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมรายได้กว่า 1,500 ล้านบาท

ฟาร์มสุข

Advertisment

“ที่ผ่านมามีหลายรายเสนอที่ดินให้เราไปร่วมทุน แต่เราเลือกร่วมทุนกับกลุ่มโบนันซ่า เพราะเห็นศักยภาพความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ทั้งพื้นที่ แหล่งเงินทุน การขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว และทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทั้งยังมีกิจการโรงแรม ร้านอาหารด้วย ขณะที่ฟาร์มสุขดอกไม้ไทยที่สมุทรสาครมีพื้นที่เพียง 10 ไร่ แต่มีคนเข้ามาดูงาน และมาอบรมจำนวนมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งเราไม่มีที่พักในการรองรับ ดังนั้น หากไปอยู่ที่โบนันซ่าก็จะมีโรงแรมรองรับ เป็นการขยายฐานเรื่องดูงาน และอบรมสัมมนาได้เต็มที่ ส่วนพื้นที่ในโบนันซ่ายังสามารถจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้และสถานที่จัด Workshop ได้ดี

ดร.ถนอมวรรณกล่าวอีกว่า ตามแผนจะเริ่มปรับหน้าดินในเดือนพฤษภาคม 2567 ก่อนจะลงมือปลูกอย่างจริงจัง คาดว่าภายในต้นปี 2568 ไม้ไทยโบราณจะเริ่มออกผลผลิต โดยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากไม้ที่นำมาปลูกไม่ได้มีมูลค่าสูง

คิดไว้ว่าที่ดิน 100 ไร่ในอนาคตจะใช้เป็นแหล่งเพาะเมล็ดพันธุ์ ขณะที่บริษัทมีแผนจะขยายสร้างเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อช่วยกันปลูกดอกไม้ไทยเหล่านี้ รวมแล้วจะได้พื้นที่ปลูกมากขึ้น 2,000 ไร่ เพราะลูกค้าอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ และธุรกิจเวลเนส ต่างต้องการใช้วัตถุดิบจำนวนมากในการแปรรูป

ปัจจุบันบริษัทดำเนินกิจการวางแผนธุรกิจระยะยาวให้กับลูกค้า (Business Planning) โดยใช้พื้นที่ 10 ไร่ ใน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ปลูกดอกไม้และใบไม้กินได้กว่า 70 ชนิด เช่น ดอกเฟื่องฟ้า, ดอกกระดุมเงิน, ดอกกระดุมทอง, ดอกดาวกระจาย, ผักกระสัง, เบี้ยหิน เป็นต้น เพื่อลำเลียงผลผลิตสู่อุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจแบบ B TO B หรือ Business to Business โดยบริษัทมีลูกค้าประจำหรือพาร์ตเนอร์กว่า 200 ราย แบ่งเป็นกลุ่มโรงแรม-ร้านอาหาร 70% เช่น W bangkok, The sukhothai bkk, The standard bkk, เครือ Anantata siam/Riverside, Nara thai cuisine, Sivatel bkk ฯลฯ

Advertisment

ส่วนคาเฟ่-บาร์อีก 20% เช่น LEDU BANGKOK, ร้านสุรา (ท่าเตียน), bksalon, Paste bkk, GOAT bkk, Issaya นอกนั้นเป็นอีเวนต์ 10% เช่น I do catering, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นต้น

“ฟาร์มสุขดอกไม้ไทย เราไม่ได้ขายแค่ดอกไม้ หรือใบไม้ที่ตกแต่งบนจานอาหาร และเครื่องดื่มเท่านั้น แต่เราเป็นนักวิชาการทำวิจัยมาตลอด โดยนำองค์ความรู้ที่มีไปนำเสนอให้ลูกค้าในเชิงลึก พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำให้มีการนำพืชชนิดต่าง ๆ ไปใช้อย่างเหมาะสมกับอาหารแต่ละชนิดด้วย”

เพราะสมุนไพรไทยแต่ละชนิดมีประโยชน์หลากหลาย ที่สำคัญต้องสรุปกับลูกค้าได้ว่า ดอกไม้บางชนิดไม่สามารถผลิตได้ทั้งปี อย่างเช่น ตอนนี้ร้อนแล้งจัดเราต้องเลือกดอกไม้ที่ทนสภาพแห้งแล้งได้ แต่มีลูกค้าบางรายต้องการดอกไม้ของต่างประเทศ เราก็ปลูกให้ได้ แต่จะไม่สร้างโรงเรือนราคาแพง ๆ จะใช้ระบบน้ำในการปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสภาพอากาศของบ้านเรา ฉะนั้น การสร้างมูลค่าของดอกไม้จึงไม่ได้ยึดถือเงินเป็นที่ตั้ง แต่เป็นการสร้างคุณค่าของพืชชนิดนั้นจริง ๆ