ราชบุรีเมืองหลวงหมูพ่าย ASF ผู้เลี้ยงสูญ 2 แสนล้าน-รัฐเพิ่งตื่นวิจัยวัคซีน

เมืองหลวงราชบุรีพ่าย ASF หมูตายเกลื่อนนับแสนตัว คนเลี้ยงรายย่อย รายกลางล่มสลายกว่า 2 แสนราย เสียหายทั้งระบบกว่า 2 แสนล้านบี้รัฐบาลบอกความจริงถึงความรุนแรงของโรค ย้ำโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน หมูยังกินได้ ด้านกรมปศุสัตว์เพิ่งตื่นแต่งตั้ง “คณะกรรมการพัฒนาและวิจัยวัคซีน”

นายพิพัฒน์ เนื้อนิ่ม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรราชบุรี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของการเลี้ยงหมู เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรในจังหวัดราชบุรีทั้งรายใหญ่ รายกลางรายเล็กได้รับผลกระทบหนักมากจากโรคระบาด

ซึ่งกรมปศุสัตว์จะเรียกว่าโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF หรือจะเรียกโรค A B C ก็ประกาศไปเลย ปัจจุบันจังหวัดราชบุรีมีคนที่เลี้ยงสุกรประมาณ 1,200 ราย มีแม่พันธุ์หมูประมาณ 220,000-250,000 แม่ ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 40%

ขณะที่ภาพรวมทั้งระบบมีแม่หมูอยู่ 1.2 ล้านแม่ หมูตายไปจากระบบแล้วกว่า 40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟาร์มรายย่อย และรายกลางกว่า 2 แสนรายที่ได้รับผลกระทบหายไปเกือบหมดประเทศแล้ว

โดยที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับเงินชดเชยเยียวยาจากภาครัฐ ดังนั้นภาครัฐควรเร่งเข้ามาช่วยเหลือเยียวยา

“วันนี้ต้องยอมรับว่าโรคระบาดคืบคลานเข้ามาในไทยแล้ว ต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหา เพราะทำให้อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูทั้งระบบเสียหายกว่า 2 แสนล้านบาทตลอดซัพพลายเชนแล้ว ความสูญเสียหนักมาก ต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้น แม่พันธุ์สุกร 1.2 ล้านแม่ หายไปจากระบบ 40% เหลืออยู่ 7 แสนกว่าแม่พันธุ์

หมูขุนปกติมี 20 ล้านตัว เหลืออยู่ 12-13 ล้านตัว โรคระบาดตัวนี้ไม่มียา ไม่มีวัคซีนรักษา แต่ย้ำว่าโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน บริโภคหมูได้ไม่อันตราย สำคัญที่สุดต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา จะทิ้งปัญหาไม่ได้

โรคนี้มันรุนแรงแล้ววันนี้ มันแก้ไขปัญหาไม่จบหากไม่มีวัคซีน ที่ผ่านมาหลายฟาร์มทำระบบไบโอซีเคียวริตี้แต่ก็ไม่รอด เพราะยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจน

ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาสื่อสารชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เลี้ยงต่อจะต้องทำอย่างไร ยิ่งลงเลี้ยงใหม่ ยิ่งขาดทุนหนักไปอีก”

หากเปรียบเทียบการทำงานของรัฐบาลประเทศจีนจะเห็นว่า รัฐบาลจีนออกมายอมรับว่ามีโรคระบาด ASF และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ที่ผ่านมาจีนเสียหายจากโรค ASF 50% หมู 500 กว่าล้านตัวเสียหายไป 200 กว่าล้านตัว แม่หมูจาก 40 กว่าล้านตัว เหลือ 20 กว่าล้านแม่

ความเสียหายในจีนทำให้ราคาชิ้นส่วนหมูพุ่งขึ้นไปกว่า 300 บาทต่อ กก. แต่ตอนนี้จีนกลับมาเลี้ยงใหม่ จำนวนหมูเพิ่มขึ้นมาเกือบ 30-40 ล้านแม่แล้ว เพราะรัฐบาลจีนช่วยเหลือดูแล

วันนี้ราคาชิ้นส่วนหมูเหลือ 100 กว่าบาทต่อ กก. ดังนั้นหากไทยยังไม่แก้ไขปัญหาแบบจีนโอกาสที่หมูไทยจะมีมากเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าสิ่งแวดล้อมก็ไม่เอื้อ ราคาหมูจะพุ่งสูงขึ้นไป

นายพัฒนพงศ์ การุณยศิริ เจ้าของบริษัท การุณ ฟาร์ม จำกัด ผู้เลี้ยงสุกร จ.สิงห์บุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางกรมปศุสัตว์ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมงานวิจัยโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร

หรือ ASF ขึ้นมา ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะพัฒนาวัคซีน เพราะปัจจุบันประเทศจีนที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคต่าง ๆ ยังคิดค้นไม่สำเร็จ

และหากยังไม่มีวัคซีนเกิดขึ้นในโลก เป็นเรื่องยากที่จะกลับมาเลี้ยงใหม่ยิ่งเป็นเกษตรกรรายย่อย รายกลาง เพราะต้องลงทุนระบบสูงมาก ต่อไปจะมีแต่ผู้เลี้ยงรายใหญ่เท่านั้นที่จะอยู่รอด

“ปัจจุบันการุณฟาร์มได้รับความเสียหายอย่างหนักจากโรคระบาด ASF ไม่มีวัคซีน ไม่มียารักษา ส่งผลให้แม่หมูที่เลี้ยงอยู่ 2,000 แม่ตายไปหมดแล้ว เพราะไม่มีหนทางแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชัดเจน คนไทยอาจต้องบริโภคหมูกิโลละ 300 บาท

เนื่องจากหมูตายเกือบหมดประเทศไทยแล้ว ผมเลี้ยงหมูมา 30 กว่าปีถือว่าหนักสุด ตราบที่รัฐบาลไม่ยอมรับว่ามีโรค ASF ระบาดร้ายแรงรุนแรงมาก ทำให้เกษตรกรรายย่อยไม่มีความรู้ว่าวงจรของโรคเป็นอย่างไร ควรจะหลีกเลี่ยงอย่างไร

แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรไม่เข้าใจลงเลี้ยงใหม่ก็ตายอีก เกษตรกรไม่รู้ภัยร้ายกำลังมา เวลาโรคเข้าฟาร์มหมูจะตายยกเล้า ถึงจะพักเล้าไว้ 2-3 ปีก็ไม่สามารถกลับมาเลี้ยงใหม่ได้ มันต้องรู้วิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง

ต้องบอกให้เกษตรกรหยุดเลี้ยงไปก่อน อย่าสู้ตราบที่ไม่มีวัคซีน ถ้าสู้ไปก็หมดตัวเปล่า ๆ สงครามที่ไม่มีทางชนะ ระบบไบโอซีเคียวริตี้ต้องลงทุนสูงอย่างที่บริษัทใหญ่ทำเท่านั้น”

รายงานข่าวจากกรมปศุสัตว์แจ้งว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 นายสรวิศธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ได้ลงนามในคำสั่งกรมปศุสัตว์ที่ 1018/2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมงานวิจัยโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร

โดยระบุใจความพอสรุปได้ว่า ด้วยกรมปศุสัตว์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสุขภาพสัตว์ในประเทศไทยได้ผลักดันโรคอหิวาต์ในสุกรเป็นวาระแห่งชาติ และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุหากเกิดการระบาดของโรค

เพื่อให้การป้องกันและควบคุมโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่และการพัฒนาวัคซีน ASF ในสุกรต้นแบบ โดยมีอธิบดีกรมปศุสัตว์เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยรองอธิบดีกรมปศุสัตว์

คณะบดีคณะสัตวแพทย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรมปศุสัตว์