“ยักษ์ฟาร์มา” รุมชิงตลาดวัคซีน สปีดสูตรใหม่ XBB.1.5

วัคซีนโควิด
คอลัมน์ : Market Move

แม้โรคโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่หลายประเทศอย่างเช่น สหรัฐอเมริกายังคงมาตรการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบประจำปี ทำให้บรรดายักษ์บริษัทยาผู้ผลิตวัคซีน ต่างพยายามพัฒนาวัคซีนสูตรใหม่ออกมาให้เร็วที่สุด พร้อมอัพเกรดฐานการผลิต เพื่อสร้างความได้เปรียบในการชิงตลาดที่แม้ยังมีอยู่แต่หดเล็กลงไปกว่าเดิมมาก

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา หรือยูเอสเอฟดีเอ ประกาศแนวทางล่าสุดสำหรับการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ธันวาคม) ของปี 2566 นี้ โดยให้ใช้วัคซีนแบบ 1 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ XBB.1.5 เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่พบมากถึง 40% ของผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่่ผ่านมา

การประกาศนี้เปรียบเหมือนสัญญาณเริ่มต้นการแข่งขันระหว่างบริษัทยารายใหญ่ ทั้งโมเดอร์นา ไฟเซอร์ และโนวาแวกซ์ ที่จะพัฒนาและผลิตวัคซีนออกมาชิงดีมานด์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการแข่งขันจะดุเดือดขึ้นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้รัฐบาลสหรัฐจะเปิดเสรีการขายวัคซีนโควิดให้กับภาคเอกชน ทำให้บรรดาผู้ผลิตสามารถขายวัคซีนตรงให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้เอง แทนการขายให้รัฐบาลอย่างที่ผ่านมา

แต่ขณะเดียวกัน แม้จะเป็นตลาดที่มีประชากรมากกว่า 330 ล้านคน แต่ปัจจุบันกระแสการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นลดลงไปมากแล้ว โดยยูเอสเอฟดีเอ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นล่าสุดของไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้รับการรับรองเมื่อเดือนกันยายน 2565 นั้น มีผู้ฉีดวัคซีนไปแล้วเพียง 17% ของประชากร หรือประมาณ 56 ล้านคนเท่านั้น ทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลงและการแข่งขันสูงขึ้น

ด้วยการแข่งขันที่สูงและเส้นตายที่จะต้องส่งมอบวัคซีนให้ได้ภายในช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ ทำให้ทั้ง 3 บริษัทตัดสินใจวัดดวงเริ่มพัฒนาวัคซีนสำหรับสายพันธุ์ XBB.1.5 ไว้ล่วงหน้า ก่อนที่ยูเอสเอฟดีเอ จะประกาศสเป็กวัคซีนออกมา อย่างไรก็ตามจากข้อมูลผลวัคซีนเบื้องต้นที่แต่ละบริษัทยื่นต่อยูเอสเอฟดีเอ แสดงให้เห็นว่าวัคซีนของทั้ง 3 บริษัทสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อทุกสายพันธุ์ย่อยของ XBB ได้เป็นอย่างดี

โดยไฟเซอร์ระบุว่าวัคซีนสำหรับสายพันธุ์ XBB.1.5 ที่พัฒนาไว้น่าจะสามารถใช้งานจริงได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้เลย ขณะที่โมเดอร์นาและโนวาแวกซ์ยังไม่เปิดเผยกำหนดการการนำวัคซีนมาใช้งานจริง

“ดร.เมลินดา วอร์ตัน” เจ้าหน้าที่อาวุโสจากศูนย์สร้างภูมิคุ้มกันและโรคระบบทางเดินหายใจแห่งชาติของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การเลือกใช้วัคซีนที่พุ่งเป้าไปยังสายพันธุ์ XBB.1.5 นั้น นับเป็นตัวเลือกที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด ทั้งในเรื่องระยะเวลาการพัฒนา-ผลิต และปริมาณวัคซีนที่แต่ละบริษัทจะสามารถส่งเข้าสู่ตลาดได้ทันภายในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

เนื่องจากสหรัฐเตรียมส่งต่อหน้าที่การกระจายวัคซีนโรคโควิด-19 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ให้กับภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นช่วงที่โควตาวัคซีนฟรีของรัฐบาลหมดลง ทำให้บรรดาผู้ผลิตวัคซีนสามารถขายวัคซีนตรงให้กับสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้เอง

การเปิดเสรีวัคซีนนี้นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับไฟเซอร์และโมเดอร์นา ที่จะเจาะเข้าสู่ช่องทางกระจายเวชภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่กว้างกว่าสมัยที่ต้องขายวัคซีนให้รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ขณะเดียวกันยังมีผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ด้วย นั่นคือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งผลข้างเคียงของวัคซีนโควิดของบริษัทอย่างการเกิดลิ่มเลือด ทำให้ปัจจุบันไม่มีวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ขายในตลาดสหรัฐ

นอกจากนี้ แต่ละบริษัทยังมีความคาดหวังต่อผลการขายวัคซีนโรคโควิด-19 ในครั้งนี้แตกต่างกันไป โดยไฟเซอร์และโมเดอร์นาคาดว่ายอดขายวัคซีนจะลดลง เนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วโลกคลี่คลายลงแล้ว ทำให้ความต้องการวัคซีนลดลง

โดยไฟเซอร์คาดว่ารายได้จากการขายวัคซีนโรคโควิด-19 ในปีนี้จะลดลงจาก 3.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 มาเหลือ 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนโมเดอร์นาคาดว่าปีนี้วัคซีนโควิดจะสร้างรายได้อย่างน้อย 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากปีที่แล้วสร้างรายได้มากถึง 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่สำหรับโนวาแวกซ์ ยอดขายวัคซีนในปี 2566 นี้ถือเป็นรายได้สำคัญต่อความอยู่รอดของบริษัทในปีนี้และอนาคต เนื่องจากบริษัทกำลังต้องการเม็ดเงินอย่างเร่งด่วนหลังปัญหาความล่าช้าในการผลิตและการขออนุญาตจากยูเอสเอฟดีเอ ทำให้บริษัทเพิ่งสามารถขายวัคซีนโควิดในตลาดสหรัฐได้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งช้ากว่าคู่แข่งไปหลายปี โดยโนวาแวกซ์ตั้งเป้ายอดขายวัคซีนรอบนี้ไว้ที่ 1-1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่ายอดขายปีที่แล้วที่ทำได้ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ต้องรอดูกันว่าในช่วงปลายปีชาวอเมริกันและทั่วโลกจะยังต้องการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 กันมากน้อยเพียงใด