“เพาเวอร์มอลล์” อัดอีเวนต์เพิ่มสาขาแฟลกชิปโกยยอด

power mall
power mall

เพาเวอร์มอลล์ มั่นใจเครื่องใช้ไฟฟ้าโค้งท้ายคึกคัก หลังปัจจัยบวกพรึบทั้งท่องเที่ยว-นโยบายรัฐ ยกระดับ 2 สาขา“บางแค-บางกะปิ” เป็นแฟลกชิปเทียบชั้นพารากอน พร้อมระดมอีเวนต์ใหญ่ยันท้ายปีชิงเม็ดเงิน ประเดิมเพาเวอร์มอลล์ อิเล็คทรอนิก้า โชว์เคสยาวถึงสิ้นเดือนตุลาคม มั่นใจสิ้นปียอดขายโต 25%

นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มบริหารสินค้า specialty บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าไอทีไตรมาส 4 ปี 2566 นี้ยังมีแนวโน้มคึกคัก คาดว่าสิ้นปีตลาดจะเติบโตประมาณ 4-5% จากมูลค่า 2.3 แสนล้านบาท ในปี 2565 ด้วยหลายปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์
นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์

ไม่ว่าจะเป็นนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน ที่จะทำให้หลังจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นโยบายลดค่าครองชีพซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ขณะเดียวกัน ตลาดยังมีดีมานด์จากผู้บริโภคระดับกลางบน ซึ่งมีกำลังซื้อและพร้อมจับจ่ายกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สะท้อนจากดีมานด์ไอโฟน 15 ที่สูงกว่าไอโฟน 14 ถึง 20% หรือยอดขายทีวีขนาด 70 นิ้วขึ้นไปของเพาเวอร์มอลล์ ที่ขณะนี้มีสัดส่วนถึง 50% ของการขายทีวีทั้งหมดเแล้ว

เช่นเดียวกับฝั่งแบรนด์สินค้ายังโหมเปิดตัวและทำตลาดสินค้าระดับกลาง-บนกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นทีวีจอใหญ่ เครื่องซักผ้าฝาหน้า และอื่น ๆ ช่วยกระตุ้นให้ตลาดคึกคัก และชดเชยการหดตัวรุนแรงของตลาดระดับกลาง-ล่างจนช่วยให้ตลาดรวมยังเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว จึงเชื่อว่าช่วงโค้งท้ายตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าจะคึกคักยิ่งขึ้น โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก โทรศัพท์มือถือ และสินค้าระดับพรีเมี่ยมจะเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์สูง

ส่วนในปี 2567 ณ ตอนนี้เชื่อว่าสถานการณ์กำลังซื้อจะดีขึ้นอีก ทั้งจากนโยบายเงิน 1 หมื่นบาท และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว หากรัฐมีนโยบายมาเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคระดับฐานรากอีก น่าจะช่วยให้ตลาดดียิ่งขึ้นไม่น้อยกว่า 10% นอกจากนี้ ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ายังมีสินค้าอีกหลายกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการครอบครองยังต่ำ ทั้งในครัวเรือนเขตเมืองและต่างจังหวัด เช่น เครื่องล้างจาน เครื่องอบผ้า เครื่องฟอกอากาศ หรือแม้แต่เตาไมโครเวฟ

สำหรับทิศทางของเพาเวอร์มอลล์นั้น นายรัชตะกล่าวว่า ช่วงไตรมาส 4 นี้ จะใช้โมเมนตั้มการเติบโตของตลาดมาสร้างการเติบโตให้กับยอดขาย พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตจาก 15% เป็น 25% หลังเห็นแนวโน้มที่ดี

โดยมี 2 กลยุทธ์สำคัญคือ การจัดอีเวนต์ใหญ่ต่อเนื่องจนถึงปลายปี และการขยายสาขาใหม่ในโมเดลระดับแฟลกชิปที่เทียบเท่ากับสาขาพารากอน เพื่อจับผู้บริโภคระดับกลาง-บนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก

สำหรับสาขาใหม่นี้จะประกอบด้วย 2 สาขาคือ สาขาบางแค และสาขาบางกะปิ ซึ่งปรับโฉมใหม่เป็นระดับแฟลกชิปทัดเทียมกับสาขาสยามพารากอน ทั้งด้านไลน์อัพแบรนด์และสินค้าที่พรีเมี่ยมและเน้นเทคโนโลยีมากขึ้น พื้นที่ที่เพิ่มจาก 4 พัน ตร.ม. เป็น 5 พัน ตร.ม. รวมถึงการบริการต่าง ๆ หลังใช้งบฯลงทุนไปถึง 200 ล้านบาทต่อสาขา โดยสาขาบางแคจะเปิดบริการในเดือนตุลาคม 2566 นี้ หลังสาขาบางกะปิเปิดบริการไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

การปรับโฉมนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเดอะมอลล์ ซึ่งปรับโพซิชั่นของทั้ง 2 ห้างจากสาขาชานเมืองเป็นสาขากลางเมือง ให้สอดคล้องกับทำเลและฐานผู้บริโภคในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากการเก็บข้อมูลของบริษัทเอง ยังพบว่าประสบการณ์ในร้านอย่างไลน์สินค้าตัวโชว์ การบริการของพนักงาน บรรยากาศ ฯลฯ มีส่วนสำคัญในการจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าไซซ์ใหญ่ หรือมีฟังก์ชั่นสูง และมูลค่ามากขึ้นได้ด้วย

“ที่ผ่านมาเพาเวอร์มอลล์สาขาบางกะปิเป็นสาขาที่ทำยอดขายสูงเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 10 สาขาของเพาเวอร์มอลล์ เป็นรองเพียงสาขาสยามพารากอนอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าการพลิกโฉมสาขาบางแคด้วยคอนเซ็ปต์เดียวกันนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีนี้ได้ดียิ่งขึ้นอีก”

ด้านอีเวนต์สำหรับกระตุ้นการจับจ่ายนั้น จะประเดิมด้วยอีเวนต์ใหญ่ “เพาเวอร์มอลล์ อิเล็คทรอนิก้า โชว์เคส” ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.-31 ต.ค. 66 ในทุกสาขา ซึ่งจะมีทั้งสินค้าและโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับกลาง-บน ไม่ว่าจะเป็นทีวีจอใหญ่รุ่นใหม่จากทั้งโซนี่และแอลจี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับระบบเอไอจากซัมซุง เครื่องเล่นเกมพกพาจากอัสซุส แอร์รุ่นใหม่จากมิตซูบิชิกันยง และอื่น ๆ

พร้อมด้วยโปรโมชั่นอย่างผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน บัตรเครดิตที่ร่วมรายการรับคะแนนสะสมสูงสุด 2 หมื่นคะแนน สินค้าลดราคาสูงสุด 60% สมาชิก M CARD ลดเพิ่มสูงสุด 15% เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนงานอีเวนต์ที่จะต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมไว้แล้ว เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายจนถึงสิ้นปี จึงมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้ถึง 25% จากปีที่แล้วตามเป้าที่วางไว้