“เคซีจี” กางแผนเพิ่มรายได้ ชูแดรี่โปรดักต์สินค้าเรือธง

KCG
ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล

“เคซีจี คอร์ปอเรชั่น” กางแผนเร่งสปีดสร้างการเติบโต สร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก “เนย-ชีส” เดินแผนร่วมทุน-M&A เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต ขยายตลาดต่างประเทศ เจาะ B2C และ B2B เผย “KCG Logistics Park” เฟสแรกเสร็จในเดือนเมษายนนี้ ตั้งเป้าสิ้นปีโต 10%

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เติบโต 16.2% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9%

สำหรับปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาใน 2 มิติ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กร โดยยึดหลัก “Heart-Driven-Expertise-Agile-Responsible-Teamwork” และยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนย และชีส ให้เติบโต มั่นคง และยั่งยืน ได้แก่ การมุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ผ่านการเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ โดยสินค้าที่ผลิตออกมาจะต้องมีการทำวิจัยหาข้อมูลให้ชัดเจน เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกลักษณะ รวมถึงการสร้างการเติบโตผ่านการทำกิจการร่วมค้า (JV) และเข้าซื้อกิจการ (M&A) อยู่อย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเข้าซื้อกิจการ บริษัท อินโดกูนา (ประเทศไทย) จำกัด ที่ประกอบธุรกิจนำเข้าเนื้อสัตว์และอาหารซีฟู้ด และซัพพลายวัตถุดิบให้กับร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อนำเข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอและความแข็งแกร่งให้กับบริษัท ตลอดจนการพัฒนาบุคลากร ก็มีแผนจะปรับองค์กรใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์กับการเติบโตแบบยั่งยืน ผ่านการ Upskill และ Reskill บุคลากรให้มีความรู้เฉพาะด้านมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีแผนจะนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

พร้อมกันนี้ก็มีแผนจะขยายตลาดส่งออกเพิ่ม ด้วยการจะเข้าไปขยายตลาดในประเทศที่มีพาร์ตเนอร์อยู่แล้ว ควบคู่ไปกับการขยายตลาดไปในประเทศใหม่ ๆ โดยเน้นไปที่แถบเอเชีย อาเซียน เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกไปมากกว่า 17 ประเทศ ทั้งในลักษณะ B2C หรือการขายผลิตภัณฑ์สู่ผู้บริโภค และ B2B ที่บริษัทซัพพลายสินค้าให้แก่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ เช่น แมคโดนัลด์ ที่ฟิลิปปินส์ หรือในญี่ปุ่นก็ได้มีส่วนร่วมทำธุรกิจให้แก่ร้านอาหารผ่านการคิดค้น ครีเอตเมนูใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 หลังจากปี 2566 ที่ผ่านมาได้มีการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว เพิ่มขึ้นจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปีไปแล้ว

ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนสร้าง ‘KCG Logistics Park’ หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจร บนพื้นที่ 15 ไร่ โดยนำเทคโนโลยีมาจัดเก็บผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมทั้ง 3 อุณหภูมิ ทั้งระบบแช่แข็งระบบแช่เย็น และแบบอุณหภูมิห้อง เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เนยและชีสมีความสดใหม่ รวมถึงนำเทคโนโลยีระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) มาใช้เพื่อควบคุมระดับสต๊อกและการส่งสินค้าให้ทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า

ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้มาก โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ รวมทั้งการปรับระบบการขนส่งสินค้าด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด (EV Truck) ที่วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมด คาดว่าจะใช้งบฯลงทุนอยู่ที่ราว ๆ 400 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้หลัก ๆ ยังคงเป็นกลุ่ม Dairy Poducts มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 57.1% กลุ่ม Food and Bakery Ingredients (FBI) มีสัดส่วนอยู่ที่ 28.8% และกลุ่ม Biscuits มีสัดส่วนอยู่ที่ 14.1%

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 1/67 ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยมีปัจจัยเชิงบวกจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ขณะที่แนวโน้มราคาวัตถุดิบยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบ โดยมีทีมงานที่คอยติดตามราคาตลาดทั่วโลก กำหนดกรอบการซื้อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ราคาดีกว่าราคาตลาด