คีย์แมนใหม่ ยูนิลีเวอร์ แตกธุรกิจ…ชิงทุกตลาด

2.5 พันล้านคนเป็นจำนวนผู้บริโภคที่ใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์ทุกวัน กระจายอยู่ใน 190 ประเทศทั่วโลก และมีสินค้า 14 แบรนด์ที่มียอดขายมากกว่า 1 พันล้านยูโร เท่ากับว่าสินค้าในเครือยูนิลีเวอร์กระจายเข้าไปอยู่ในทุก ๆ ครัวเรือนทั่วโลก ขณะเดียวกันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นตลาดใหญ่ที่บริษัทแม่ให้ความสำคัญรวมถึงประเทศไทยด้วย

“โรเบิร์ต แคนเดลิโน” ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น แบรนด์ซันไลต์ ซันซิล พอนด์ส เป็นต้น กล่าวว่า ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นตลาดใหญ่ของกลุ่มยูนิลีเวอร์ และประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากจำนวนสื่อ ช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวเทคโนโลยี อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ การเมือง ทำให้ธุรกิจต้องพร้อมปรับตัวเพื่อให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

“พฤติกรรมคนเปลี่ยน ช่องทางจำหน่ายก็เปลี่ยน บริษัทในฐานะผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคก็ต้องเปลี่ยนให้ทันผู้บริโภคด้วย เพราะสินค้าอุปโภคบริโภคถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคที่ต้องใช้ทุกวัน ดังนั้นถ้าผู้บริโภคอยู่ที่ไหน ก็ต้องเข้าไปหาผู้บริโภค วันนี้ผู้บริโภคอยู่หน้าจอสมาร์ทโฟน ยูนิลีเวอร์ก็ต้องไป”

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในไทยในฐานะหัวเรือคนใหม่ “โรเบิร์ต” บอกว่า ยังสอดรับกับแผนธุรกิจของกลุ่มยูนิลีเวอร์ทั่วโลก ซึ่งทิศทางธุรกิจ 5 ปีจากนี้ไป จะเดินหน้าภายใต้วิสัยทัศน์หลัก คือ มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 3 เป้าหมายใหญ่ ได้แก่ การพัฒนาสุขภาพ คุณภาพชีวิต ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค โดยถ่ายทอดแนวทางเหล่านี้ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างแคมเปญใหม่ ๆ เพื่อส่งต่อไปสู่ผู้บริโภค

ยกตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่มน้ำเดียว “คอมฟอร์ท” เพื่อลดการใช้น้ำในการซักผ้า ลดขั้นตอนยุ่งยากในการซักผ้า เป็นต้น นอกจากนี้อยู่ระหว่างพัฒนาแพ็กเกจจิ้งใหม่ของบรรจุผลิตภัณฑ์แบบรีฟิลให้สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ เพื่อลดปริมาณขยะ และโครงการร้านติดดาวที่พัฒนาต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 ปัจจุบันมี 10,500 ร้านค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุก ๆ ปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านโชห่วย

Advertisment

“ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็ว การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เสมือนเป็นเข็มทิศนำบริษัทให้เดินไปได้ตามแผนที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นก็ตาม ซึ่งตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยมีศักยภาพการเติบโตที่ดี และยูนิลีเวอร์อยู่ในตลาดนี้มากว่า 85 ปี มีการเรียนรู้และปรับตัวต่อเนื่องในทุก ๆ มิติ”

เป้าหมายที่ 2 คือ การพัฒนาบุคลากร ด้วยการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมของพนักงาน หวังสร้างความผูกพันให้แก่บริษัทและพนักงาน สุดท้ายศักยภาพขององค์กร ซึ่งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ในแต่ละสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรควบคู่กันไป จะทำให้องค์กรมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

“โรเบิร์ต” กล่าวต่อว่า หลังจากเข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน ก็ใช้ระยะเวลา 1 ปีในการศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ทั้งการทำงานภายในองค์กรร่วมกับคนไทย การลงพื้นที่ ลงตลาดดูช่องทางจัดจำหน่าย เพื่อทำความเข้าใจกับตลาดไทยในทุก ๆ มิติ เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้

ปัจจุบันสัดส่วนสินค้ากลุ่มยูนิลีเวอร์ไทยแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ความงาม 40% สินค้าในครัวเรือน 40% และไอศกรีม 20% ซึ่งยูนิลีเวอร์ไทยเป็นผู้นำตลาดใน 7 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ทำความสะอาดผม ทำความสะอาดผิวกาย น้ำยาล้างจาน ผลิตภัณฑ์โจ๊ก ไอศกรีม และบำรุงผิวกาย โดย 99% ของ 24.7 ล้านครัวเรือนในไทยใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์ และใช้ผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 3 ครั้งต่อวัน และเฉพาะไตรมาส 2 ปีนี้ เตรียมเปิดตัวสินค้าและแคมเปญการตลาดใหม่ออกมาใน 4 กลุ่มสินค้าในหลากหลายแบรนด์ เช่น โดฟ พอนด์ส คนอร์คัพเนเชอรัล ไอศกรีมเอเซี่ยนดีไลท์ ผงซักฟอกคอมฟอร์ท เป็นต้น

Advertisment

“แนวทางการเติบโตในฐานะผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในไทย คือ ต้องเข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคคนไทย ทำให้มีสินค้าใหม่ที่สอดรับกับความต้องการของคนไทยเพิ่มขึ้นด้วย เช่น โจ๊ก เนเชอรัล ไอศกรีมเอเซี่ยนดีไลท์รสทุเรียน รสกะทิ รสข้าวโพด เป็นต้น และพร้อมนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านผลิตภัณฑ์ ธุรกิจใหม่ และแคมเปญการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น”

“โรเบิร์ตย้ำว่า แม้ยูนิลีเวอร์จะเป็นบริษัทใหญ่ แต่ก็ต้องอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะเชื่อว่ายุคนี้บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะเติบโตได้โดยไม่มีพันธมิตรไม่ได้ แต่ต้องเติบโตร่วมกันไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเชื่อว่าทิศทางธุรกิจที่วางไว้จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้เป็น 2 เท่าของขนาดธุรกิจในปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงได้ด้วย”

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุก ๆ มิติ ทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์ ก็ต้องปรับกลยุทธ์ต่อเนื่อง เพื่อรองรับกับความท้าทายที่เกิดขึ้นตลอดเวลา กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของหัวเรือคนใหม่แห่งยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย