ตลาดนมเอเชีย-จีนโตพุ่ง “วีน่ามิลค์” เพิ่มโรงงานรับดีมานด์ทั่วทิศ

คอลัมน์ Market Move

ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น น้ำนม โยเกิร์ต เนย และอื่น ๆ นับเป็นสินค้าที่จะมีดีมานด์สูงขึ้นตามคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค

โดยตลาดผลิตภัณฑ์นมในเมียนมายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก สะท้อนจากอัตราการบริโภคซึ่งปัจจุบันชาวเมียนมา 55 ล้านคนบริโภคนมเฉลี่ยเพียง 10 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น ต่ำมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียที่มีอัตราบริโภคนมเฉลี่ยถึง 45 ลิตร และ 60 ลิตรต่อคนต่อปีตามลำดับ

ล่าสุด “เวียดนาม แดรี่ โปรดักต์” หรือ “วีน่ามิลค์” (Vietnam Dairy Product-Vinamilk) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมอันดับ 1 ของเวียดนามและรายใหญ่ของอาเซียน ด้วยโรงงาน 13 แห่งในเวียดนามได้เตรียมเพิ่มความเข้มข้นของการทำธุรกิจในเมียนมาเพื่อชิงโอกาสขณะตลาดกำลังเติบโต พร้อมเล็งเจาะเข้าสู่ตลาดจีนภายในไตรมาส 2-3 ของปีนี้เช่นเดียวกันตามแผนรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า “วีน่ามิลค์” จ่อเปิดโรงงานแห่งแรกในเมียนมาเร็ว ๆ นี้ เพื่อรองรับดีมานด์ผลิตภัณฑ์นมที่พุ่งสูงขึ้น โดยเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น “ซินโครเวิลด์” ที่เป็นดิสทริบิวเตอร์ของวีน่ามิลค์มาตั้งแต่เริ่มรุกตลาดนี้เมื่อปี 2559 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอื่น ๆ ของโรงงานอย่างสถานที่ตั้ง ประเภทสินค้าหรือกำลังผลิต

โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการฉายภาพว่า ตลาดผลิตภัณฑ์นมในเมียนมายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งตลาดยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นโดยมีกำลังผลิตประมาณ 620 ล้านกิโลกรัมต่อปี ซึ่งเชื่อว่าน้อยกว่าความต้องการบริโภคถึง 50% เนื่องจากระบบการผลิตที่ยังต้องพึ่งพาฟาร์มรายย่อยขนาดเล็ก ขาดแคลนโรงงานแปรรูปและการควบคุมคุณภาพมาตรฐานที่ไม่ดีนัก ทำให้สินค้าของแบรนด์ท้องถิ่นรายใหญ่ เช่น วอลโค (Walco), ซิลเวอรี่เพิร์ล (Silvery Pearl), ทีเอ็ม (TM) ยังกระจุกตัวในเขตกรุงย่างกุ้งเท่านั้น จึงเป็นโอกาสของผู้เล่นต่างชาติที่มีโนว์ฮาวและประสบการณ์พร้อม

สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มองว่า สาเหตุที่วีน่ามิลค์หันมาสนใจเมียนมาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นเพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่ชดเชยภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางกระทบยอดขายในอิรัก ซึ่งเดิมมีการสร้างรายได้ถึง 60% ของยอดขายในต่างประเทศ จนเมื่อปี 2560 ยอดขายเซ็กเมนต์นี้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เหลือ 312 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.2% จากปีก่อนหน้า

นอกจากวีน่ามิลค์แล้วยังมีผู้เล่นอื่นที่หมายตาเมียนมาอยู่เช่นกัน อาทิ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค. ซึ่งพยายามรุกตลาดเมียนมา ลาว และกัมพูชาด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน วีน่ามิลค์ยังเตรียมรุกต่อไปยังจีนภายในปีนี้ หลัง กม.ที่อนุญาตให้เวียดนามส่งผลิตภัณฑ์นมเข้าสู่ตลาดจีนได้ผ่านขั้นตอนการร่างแล้ว และคาดว่ารัฐบาลจีนจะลงนามในเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งหาก กม.ฉบับนี้บังคับใช้วีน่ามิลค์จะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคจีนกว่า 1.4 ล้านคนได้ และคาดว่าจะสามารถใช้เครือข่ายค้าปลีกผลิตภัณฑ์นมของ “จาดีน ซีแอนด์ซี” กลุ่มธุรกิจสัญชาติสิงคโปร์ที่เป็นผู้ถือหุ้นของวีน่ามิลค์ และดำเนินธุรกิจในจีนอยู่แล้วมาช่วยกระจายสินค้า

“มาย เกียว เลียน” ซีอีโอของวีน่ามิลค์กล่าวว่า ทิศทางในตลาดใหม่เหล่านี้จะโฟกัสการจับมือพันธมิตรด้านการกระจายสินค้า เริ่มจากการส่งสินค้าเข้าไปก่อน และหากมีศักยภาพเพียงพอจะตั้งฐานการผลิตในประเทศนั้น ๆ ด้วย เพื่อการนี้ได้เตรียมงบฯสำหรับเข้าซื้อกิจการ พัฒนาฟาร์มและสร้างโรงงานช่วงปี 2560-2564 ไว้ถึง 750 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรในอินโดนีเซียอีกด้วย

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดผลิตภัณฑ์นมเมียนมา รวมถึงการแข่งขันในภูมิภาคเอเชียที่ส่อเค้าดุเดือดขึ้น หลังผู้เล่นรายใหญ่อย่างวีน่ามิลค์รุกตลาดต่อเนื่อง