ประกิตฯ ยกเครื่อง ตอบทุกโจทย์…ทุกความท้าทาย

สัมภาษณ์

สมรภูมิการแข่งขันเปลี่ยนเร็ว ทำให้มีเดียเอเยนซี่สัญชาติไทย อย่าง “ประกิต โฮลดิ้งส์” ก็อยู่นิ่งไม่ได้ พร้อมประกาศจัดกระบวนทัพใหม่อีกระลอก เพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวขึ้น และพร้อมตอบทุกโจทย์ ทุกความท้าทายใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกค้า (แบรนด์) ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “อภิรักษ์ อภิสารธนรักษ์” กรรมการบริหาร บริษัท ประกิต โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการวางแผนสื่อโฆษณาครบวงจร ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจหลังจากปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นปีนี้

Q : แนวทางการดำเนินธุรกิจปีนี้

ที่ผ่านมา ประกิตฯเติบโตแบบออร์แกนิก ด้วยการแตกยูนิตภายในองค์กรเท่านั้น และค่อย ๆ ปรับตัวเองตั้งแต่ปลายปี 2557 ด้วยการควบรวม บริษัท แบงค์คอก ไรเตอร์ จำกัด เข้ามาเสริมทัพธุรกิจที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ ต่อด้วยการตั้งบริษัท 62 คอนเทนท์ แอนด์ ดีซายน์ จำกัด ขึ้นปี 2560 เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็ว

ขณะที่ปีนี้ ถือเป็นสเต็ปที่ 2 ของการทรานส์ฟอร์เมชั่น (transformation) องค์กร โดยจะเดินหน้าด้วยแนวคิด “ออล อิน วัน” (all in one) นั่นคือ บุคลากรทุกคน ทุกทีม ต้องตอบโจทย์ลูกค้า (สินค้า) ได้หลากหลาย ไม่ว่าลูกค้าจะมาด้วยโจทย์อะไรก็ตาม ทุกทีมต้องทำได้ และสามารถทำงานร่วมกันได้กับทุก ๆ แผนก โดยใช้ศักยภาพของประกิตฯ ซึ่งเป็นเอเยนซี่โฆษณาที่ให้บริการครบวงจร ทั้งด้านครีเอทีฟ วางแผนสื่อ ซื้อ-ขายโฆษณา ออกแบบผลิตภัณฑ์ ธุรกิจอีเวนต์ เข้าไปสนับสนุน

“สิ่งที่บริษัทกำลังทำ คือ การทำให้เกิด cross pollination หรือการผสมดอกไม้ข้ามเกษร นั่นหมายถึง พนักงานทุกคน ทุกทีม ต้องทำงานร่วมกันได้ ซึ่งจะทำให้การทำงานยืดหยุ่นและคล่องตัวขึ้น เนื่องจากตอนนี้การใช้เม็ดเงินโฆษณาของสินค้าเปลี่ยนไป เทไปที่สื่อออนไลน์มากขึ้น จะมาทำงานตามสเต็ปเดิม และให้ลูกค้ารอก็คงไม่ได้ แต่ต้องหมุนเร็วตามสปีดของโลกออนไลน์”

Q : ในแง่ของบุคลากรมีความพร้อม แค่ไหน สำหรับการทำงานบนแนวคิด ออล อิน วัน (all in one)

เราเริ่มแนวคิดนี้ตั้งแต่ปลายปี 2561 แต่เพิ่งประกาศอย่างเป็นทางการปีนี้ ว่า บุคลากรทุกคนต้องทำงานภายใต้ระบบนี้ แต่ก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีครึ่ง เราก็เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรมาแล้ว ด้วยการดึงคนและสร้างคน ให้สามารถทำงานตอบทุกโจทย์ของลูกค้าได้ทุก ๆ ด้าน ทั้งออนไลน์ การวางแผนสื่อ อีเวนต์ หรือแม้กระทั่งงานด้านโปรดักชั่นออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมสเต็ปแรก และขณะนี้เป็นสเต็ปที่ 2 คือ การทำงานเป็นเครือข่ายภายในองค์กร ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีผลงานจากแนวคิดนี้ออกมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะบางชิ้นงานยังเปิดเผยไม่ได้

“แนวคิดการทำงานนี้ ถือเป็นสเต็ปที่ 2 ของการทรานส์ฟอร์เมชั่นองค์กร และจะมีสเต็ป 3 เกิดขึ้นในอนาคต แต่ตอนนี้ปล่อยให้บุคลากรมีอิสระในการเข้าไปเรียนรู้ เข้าไปทำงานร่วมกันในแต่ละทีมก่อน เพื่อให้การทำงานมีระบบมากขึ้น”

Q : อีก 3-5 ปีข้างหน้า ประกิตฯจะเปลี่ยนตัวเองอย่างไร

ภาพของประกิตฯอีก 3-5 ปีข้างหน้าคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยย้ำจุดแข็งของการเป็นฟูลเอเยนซี่ (full agency) หรือ เอเยนซี่ที่มีบริการด้านโฆษณาแบบครบวงจร แต่สิ่งที่บริษัทเปลี่ยนมาตลอด คือ รูปแบบการทำงาน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางตลาดที่เปลี่ยนอยู่เสมอ ซึ่งยุคนี้ต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยบริษัทพร้อมเปิดกว้างสำหรับการลงทุนในเรื่องนี้ ตั้งแต่การร่วมกับกลุ่มสตาร์ตอัพ การร่วมทุน หรือการซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง เพราะมองว่านี่เป็นโอกาสสร้างการเติบโตให้แก่ประกิตฯในอนาคต รวมถึงเป็นโอกาสที่กำลังเกิดขึ้นของทุก ๆ บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

Q : มองภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจมีเดียเอเยนซี่ปีนี้

การแข่งขันของธุรกิจนี้ก็ค่อนข้างสูง โดยเอเยนซี่ใหญ่ ๆ ก็ขยับตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเข้าซื้อบริษัทดิจิทัลเอเยนซี่ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้แก่ธุรกิจ และให้สอดรับกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป ขณะที่ประกิตฯเอง ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ด้วยการเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากรอย่างต่อเนื่องให้สามารถแข่งขันได้ เช่น การเติมยูนิตใหม่ต่อเนื่อง อย่างปี 2560 ก็ตั้งบริษัท 62 คอนเทนท์ แอนด์ ดีซายน์ จำกัด ขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพบนพื้นที่ที่บริษัทไม่เชี่ยวชาญ

“แนวทางหลักของประกิตฯ คือ สร้างทีม สร้างบุคลากรขึ้นมาใหม่ แทนการเข้าซื้อกิจการ แม้ว่าจะโตช้ากว่าเมื่อเทียบกับการเข้าซื้อทีม หรือ ซื้อกิจการที่สามารถทำงานได้ทันที แต่เมื่อประเมินจากปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น วัฒนธรรมองค์กร วิธีการทำงาน แล้วถือว่าการสร้างทีมใหม่คุ้มค่าการลงทุนกว่า เพราะสามารถควบคุมได้ ว่า อยากได้แบบไหน”

Q : ประเมินการเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณาปีนี้อย่างไร

โดยส่วนตัวยังมองภาพรวมทั้งปีเป็นบวก แต่ครึ่งปีแรกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่ชัด ทุกอย่างยังลาง ๆ แม้ได้เลือกตั้งไปแล้ว แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลัง บรรยากาศโดยรวมน่าจะชัดเจนขึ้น จะส่งผลให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเชื่อมั่นและหันมาลงทุนเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงการใช้งบฯโฆษณาผ่านสื่อก็จะโตขึ้นด้วยเช่นกัน