ปลุกแบรนด์เก่าคืนชีพ กระแสกล้องเรโทรมาแรง

คอลัมน์ Market Move

วงการกล้องถือเป็นวงการที่กระแสเรโทรหรือการย้อนยุคมาแรง เห็นได้ชัดจากการดีไซน์กล้องและเลนส์ของทุกแบรนด์ที่พยายามออกแบบให้เหมือนกล้องฟิล์มแมนวลทั้งรูปทรงที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจน การใช้วัสดุโลหะและหนังเทียม รวมถึงการหันมาใช้ลูกบิดเพื่อปรับตั้งค่าต่าง ๆ ซึ่งดูจะเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภคเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกที่ผู้ผลิตกล้องและเลนส์รายเก่า ๆ ที่เคยล้มหายตายจากไประหว่างช่วงรอยต่อยุคฟิล์ม-ดิจิทัลจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อโดดเข้าร่วมกระแสนี้ด้วย

ล่าสุดในหน้าสื่อต่างประเทศได้ปรากฏชื่อ “ยาชิกา” (Yashica) อดีตผู้ผลิตกล้องและเลนส์สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งห่างหายจากวงการไปนานกว่า 10 ปี หลังถูกเคียวเซร่าซื้อกิจการในปี 2526 และเปลี่ยนมือไปอยู่กับ “เอ็มเอฟ เจบเซ่น กรุ๊ป” (MF Jebsen Group) บริษัทโฮลดิ้งสัญชาติจีนเมื่อปี 2551

โดยครั้งนี้ยาชิกากลับมาพร้อมกับโปรเจ็กต์ระดมทุนผลิตกล้องดิจิทัลรุ่นใหม่ ในชื่อ Yashica Y35 ซึ่งดีไซน์ตามแบบกล้องยอดนิยมรุ่น Yashica Electro 35 ที่ผลิตช่วงปี 2509-2520 และมีจุดเด่นเป็นระบบ “ดิจิฟิล์ม” (digiFilm) ที่ยกระดับการดีไซน์กล้องสไตล์เรโทรไปอีกระดับ ด้วยขั้นตอนการใช้งานเหมือนกล้องฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นการต้องใส่กลักฟิล์มเข้าไปในตัวกล้อง และดันก้านเลื่อนฟิล์มเพื่อขึ้นฟิล์มก่อนถ่ายภาพทุกครั้ง รวมถึงภาพที่ได้จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดกลักฟิล์มที่ใส่เข้าไป เช่น ภาพสี-ขาวดำ หรืออัตราส่วนแบบจัตุรัส เป็นต้น

Advertisment

และที่สำคัญ กล้องรุ่นนี้ยังไม่มีจอแอลซีดีสำหรับดูภาพที่ถ่ายไปแล้วด้วย ซึ่งบริษัทเองก็ไม่ได้มองว่านี่เป็นข้อเสียของ Y35 แต่อย่างใด แต่เป็นข้อดีเสียอีก ที่ทำให้ผู้ที่ต้องการถ่ายภาพได้มีเวลาคิด และพิถีพิถันกับการถ่ายรูปต่าง ๆ มากขึ้น

“การถ่ายด้วย Y35 ก็เหมือนการเดินทางไปสู่ความจริง ด้วยฟังก์ชั่นของกล้องที่ไม่ได้มอบความพึงพอใจแบบสำเร็จรูปให้กับผู้ถ่าย ไม่มีจอให้ดูภาพ ไม่มีปุ่มลบภาพที่ไม่ต้องการ คุณไม่สามารถปิดบังความผิดพลาดใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ช่องมองภาพของกล้องตัวนี้ก็อาจจะเชื่องช้ากว่ากล้องตัวอื่นเล็กน้อย ดูสวยงามไม่เท่า ซึ่งนำพาพวกเราไปสู่ช่วงเวลาที่เคยให้ความสำคัญกับการบรรจงถ่ายรูปออกมาในแต่ละชอต การตัดสินใจกดชัตเตอร์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าองค์ประกอบทุกอย่างนั้นสมบูรณ์แล้ว”

ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มโครงการในวันที่ 10 ต.ค. จนถึงวันที่ 16 ต.ค. มีผู้ร่วมลงทุนในโปรเจ็กต์นี้แล้ว 6,117 คนคิดเป็นเม็ดเงินรวมกัน 8.4 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เกินกว่าเป้าหมายซึ่งตั้งไว้ที่8 แสนดอลลาร์ฮ่องกงไปมากกว่า 10 เท่าตัวและทางยาชิกาได้ประกาศอัพเกรดฟังก์ชั่นของกล้องรุ่นนี้เพิ่มอีกหากสามารถระดมทุนได้ถึง 9 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เช่น เพิ่มขนาดรูรับแสงจาก f/2.8 เป็น f/2.0 ทำให้เชื่อได้ว่าอีก 33 วันที่เหลือจะมีผู้เข้าลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ยาชิกายังลอนช์เลนส์สำหรับสมาร์ทโฟนอีกด้วย โดยมีจุดขายเป็นดีไซน์แบบ 2 อิน 1 มีทั้งเลนส์ไวด์องศารับภาพ 110 องศา และเลนส์แมโครกำลังขยาย 15 เท่า ในราคา 385 ดอลลาร์ฮ่องกง

Advertisment

นอกจากยาชิกาแล้ว ในปี 2017 นี้ ยังมีแบรนด์กล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพรายอื่นประกาศคืนสังเวียนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น “เซนิท” (Zenit) แบรนด์กล้องและเลนส์สัญชาติรัสเซียที่หยุดสายการผลิตกล้องฟิล์มไปตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งสำนักข่าว “อาร์เอ็นเอส” (RNS) ของรัสเซีย รายงานว่า เซนิทจะเริ่มผลิตกล้องและเลนส์อีกครั้ง โดยเล็งรุกตลาดระดับไฮเอนด์ด้วยกล้อง

มิเลอร์เลสแบบฟูลเฟรมและเลนส์ไวด์แสงที่มีรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 สำหรับกล้องของตนเองและโซนี ตามเป้าที่จะท้าชนกับ “ไลก้า” (Leica) คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2561 ที่จะถึงนี้

ส่วนอีกแบรนด์ที่จะกลับเข้าสู่ตลาดคือ “โกดัก” (Kodak) ซึ่งเตรียมเปิดสายการผลิตฟิล์มสไลด์สำหรับกล้อง 35 มม.รุ่นขวัญใจช่างภาพ อย่าง “เอคทาโครม” (Ektachrome) อีกครั้ง โดยจะเริ่มทดลองขายแบบจำกัดจำนวนในช่วงปลายปีนี้ ก่อนจะผลิตและขายแบบเต็มที่ในปีหน้า เช่นเดียวกับ “โพลารอยด์” (Polaroid) ที่เตรียมกลับมาผลิตกล้องฟิล์มอีกครั้งในชื่อ OneStep 2 ชูจุดขายเรื่องดีไซน์คลาสสิกและเลนส์คุณภาพสูงส่วนฟิล์ม 8 รูป ราคาแพ็กละ 16 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเปิดให้สั่งจองกล้องพร้อมฟิล์มในราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีกำหนดส่งสินค้าในเดือน ต.ค.นี้

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้น่าจะทำให้ตลาดกล้องทั่วโลกคึกคักยิ่งขึ้น ซึ่งต้องดูกันว่าบรรดาแบรนด์เก่าแก่จะสามารถเบียดชิงส่วนแบ่งจากผู้เล่นปัจจุบันได้หรือไม่ และหลังจากนี้จะมีแบรนด์ใดฟื้นจากความตายขึ้นมาอีกบ้าง