เมเจอร์ ทุ่มกว่า 522 ล้าน ซื้อหุ้นเวิร์คพอยท์ ต่อยอดธุรกิจบันเทิง

“เมเจอร์” เดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ต่อยอดรายได้หลังขายหุ้น SF ให้ CPN กำเงินสดกว่า 7.7 พันล้านบาท ล่าสุดทุ่มกว่า 522.88 ล้าน ซื้อหุ้นเวิร์คพอยท์กว่า 22 ล้านหุ้น เข้าพอร์ตเตรียมต่อยอดธุรกิจบันเทิง หลังก่อนหน้าใช้เงินกว่า 569 ล้านบาท ซื้อหุ้น TKN ต่อยอดรายได้ลดเสี่ยงธุรกิจโรงหนัง

วันที่ 16 มีนาคม 2565 หลังปีที่ผ่านมาบอร์ดบริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR มีมติอนุมัติข้อตกลงขายหุ้น SF ให้ “เซ็นทรัลพัฒนา” จำนวน 647.15 ล้านหุ้น สัดส่วน 30.36% ราคาหุ้นละ 12 บาท มูลค่ารวม 7,766 ล้านบาท โดยมีผลตั้งแต่ ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา

ผลทำให้เมเจอร์กำเงินสดในมือกว่า 7.7 พันล้านบาท ส่งผลให้ทางเครือเมเจอร์เริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อลงทุน และต่อยอดของเดิม ผ่านธุรกิจที่มีความน่าสนใจ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างรายได้ หลังปีที่ผ่านมาต้องเผชิญสถานการณ์โควิดทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์ และปิดโรงหนังเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลต่อรายได้ค่อนข้างมาก

ลงทุนหุ้น TKN เพิ่มรายได้

โดยการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดรายได้ของเมเจอร์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2565 ที่ผ่านมา ด้วยการเข้าซื้อหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) จำนวน 69 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ คิดเป็นราคาซื้อขายในตลาดเฉลี่ย 7.82 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 569. 69 ล้านบาท

โดยบริษัทคาดว่าจะถือหุ้นใน TKN ไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ TKN โดยไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการต่อโครงสร้างบริษัทของ TKN หรือกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด

แต่หากประเมินกันตามที่นักวิเคราะห์มองแล้ว การเข้าลงทุนครั้งนี้ จะช่วยให้เมเจอร์ได้เปรียบทางการแข่งขัน ทั้งด้านช่องทางการจำหน่าย ซึ่งการถือหุ้นเถ้าแก่น้อยดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจ และขยายความสามารถทางการแข่งขันของบริษัท โดยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายป๊อปคอร์นสู่ตลาดในและต่างประเทศ รวมถึงช่องทางรายได้สื่อในการประชาสัมพันธ์ทางด้านการตลาดให้เถ้าแก่น้อยในอนาคต

สอดคล้องกับที่นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เปิดเผยว่า การถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการและนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด แต่การที่ MAJOR เข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัท เนื่องจากมองเห็นศักยภาพและโอกาสเติบโต และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการ Synergy เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมกันในอนาคต เพราะ TKN มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจขนมขบเคี้ยว ส่วน MAJOR มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงภาพยนตร์

ซื้อหุ้น WORK ต่อยอดธุรกิจบันเทิง

ล่าสุด วันที่ 15 มี.ค. 2565 MAJOR ได้ถือหุ้นบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK จำนวน 22,100,000 หุ้น ซึ่งเป็นการทยอยซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามราคาซื้อในตลาด อยู่ระหว่างช่วงราคา 22.41 ถึง 25.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็นราคาซื้อในตลาดเฉลี่ย 23.66 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 5.0049% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ WORK คิดเป็นมูลค่าลงทุน 522.88 ล้านบาท มีเป้าหมายถือหุ้นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ WORK โดยไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการต่อโครงสร้างบริษัท หรือกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด

ซึ่งการถือหุ้น WORK ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจ และเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงด้านการผลิตคอนเทนต์มากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างโอกาสในการลงทุนและการพัฒนากระบวนการดำเนินงาน

บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนา และเตรียมความพร้อมในการนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย รวมถึงการสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรอบด้าน ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท

หลังก่อนหน้านี้ เมเจอร์ และเวิร์คพอยท์ มีการทำงานร่วมกันคือการพัฒนาภาพยนตร์ เช่น ไบค์แมน ศักรินทร์ตูดหมึก และ อีเรียมซิ่ง รวมถึงเปิดบริษัทบริหารศิลปิน-นักแสดง ร่วมกันในชื่อ สกายบ็อกซ์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ โดยเมเจอร์ก็มีการผลิตหนัง