“สมคิด” ผุดมาตรการชุดใหญ่กระทุ้งท่องเที่ยวชะลอเลิกจ้างงาน-หนุนคนแก่เที่ยวไทยหักภาษีบุตร

“สมคิด” สั่งธ.ก.ส.-กองทุนหมู่บ้าน-ส่งพนักงานดูงาน หนุนใช้จ่ายในประเทศ ดึงมหาวิทยาลัยสร้างรายได้ระยะสั้นอาชีพอิสระ ด้าน “อุตตม” เร่งหน่วยงานเกี่ยวข้องออกชุดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ-ลูกจ้าง เน้นลดค่าใช้จ่าย-เสริมรายได้รับมือไวรัสโคโรน่า คาดปลายมี.ค.เสนอเข้าครม.พร้อมใช้เดือนเม.ย ย้ำ เป็นมาตรการระยะสั้นแค่ 3 เดือน หวังเป็นแรงบวกต่อเศรษฐกิจได้ ด้าน “สมาคมธนาคารไทย” ชี้ แบงก์เร่งดูแลลูกค้าเชิงรุก พักหนี้-ยืดหนี้-ลดดอกเบี้ย

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารพาณิชย์ (TBA) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และกระทรวงการท่องเที่ยว เป็นต้น จะเร่งออกแพ็คเกจชุดมาตรการเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกอบการและลูกจ้าง โดยจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปลายเดือนมีนาคมเพื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และน่าจะทันภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งเข้าฤดูกาลท่องเที่ยวพอดี และชุดมาตรการนี้จะเป็นมาตรการระยะสั้นราว 3 เดือน (ตั้งแต่เมษายน-มิถุนายน) ไม่ใช่มาตรการถาวร โดยจะช่วยประคองและเป็นมาตรการเชิงรุก

“มาตรการนี้ไม่ใช่มาตรการถาวร เพราะเราทำจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนรูปแบบที่ดูแลได้นั้นก็อยู่ในวิสัยที่ดูแลได้ โดยทุกคนไปคิดและออกมาเป็นแพ็คเกจประกอบกันเป็นชุดมาตรการ เราทำแบบเชิงรุกก่อนไม่ได้รอเหตุการณ์ไปอีกขั้นแล้วค่อยทำ”

สำหรับชุดมาตรการดังกล่าว เบื้องต้นจะดูแล 2 กลุ่ม คือ 1.ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีกำลังไม่เยอะ โดยธปท.และสมาคมธนาคารไทย จะเข้าไปดูในรายละเอียด อาทิ การให้สภาพคล่องเฉพาะหน้า การผ่อนชำระหนี้ ยืดอายุการชำระหนี้ หรือส่วนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ชอฟต์โลน) ก็กำลังพิจารณากันอยู่ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำ แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในตอนนี้มีความแตกต่างกันในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งวงเงินที่จะนำมาใช้อาจจะไม่ใช่งบประมาณปี 2563

ส่วนกลุ่ม 2.ดูแลพนักงานรายย่อยในอุตสาหกรรมที่โดยกระทบนั้น จะเป็นการช่วยผ่อนภาระค่าใช้จ่าย เช่น บัตรเครดิต ธนาคารอาจจะเข้าไปดูแลในการลดอัตราดอกเบี้ยให้ หรือหากผ่อนค่างวดอื่นๆ เช่น ค่าไฟ ก็พิจารณาช่วยเหลือ และเพื่อให้เป็นแรงจูงใจที่ผู้ประกอบการช่วยเหลือดูแลลูกจ้าง เพื่อชะลอการเลิกจ้างแรงงาน อาจจะมีมาตรการเสริมทางด้านภาษี เพื่อจูงใจนายจ้างและผู้ประกอบการช่วยเหลือกันในยามนี้

นอกจากมีมาตรการทางด้านลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีมาตรการช่วยเพิ่มรายได้ เช่น มาตรการชิมช้อปใช้ หนุนคนไทยไปเที่ยว โดยให้ผู้สูงอายุ 60 ปีไปเที่ยว และนำใบเสร็จให้ลูกหลานมาหักลดหย่อนภาษีได้ เพราะลูกหลานไปทำงานไปเที่ยวไม่ได้ก็ให้ผู้สูงอายุไปแทน เป็นต้น

“เรามีมาตรการทางการเงิน การคลัง และภาษี เพื่อช่วยทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน โดยธปท.และสมาคมแบงก์จะมีการพูดคุยกันถึงแนวทางการผ่อนคลายต่างๆ เพราะตอนนี้ทุกแบงก์ทราบดีว่าจะช่วยกันอย่างไร โดยธปท.ก็จะเข้ามาช่วยดูว่ามาตรการอะไรมีกฎกติกาควบคุมอยู่ และเป็นมาตรการที่มีเวลาจำกัดแบบนี้ ก็มาช่วยผ่อนคลายให้ ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกับมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีก่อนหน้า”

สำหรับผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) นั้น นายอุตตม กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดถึงผลกระทบเป็นตัวเลขได้ เพราะเพิ่งเริ่มต้นปีเท่านั้น โดยเชื่อว่าภายหลังมีมาตรการชุดออกมาจะส่งผลบวกต่อจีดีพีได้

ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้รัฐบาลได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องการเงินการคลังในประเทศ เนื่องจากค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังได้รับผลกระทบรุนแรงจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นอุตสากกรรมที่มีขนาดใหญ่ครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก และมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนรากหญ้า จึงได้เตรียมออกมาตรการระยะสั้นมาช่วยเหลือช่วง 3-4 เดือน โดยเบื้องต้นมี 3 ประเด็นหลักๆ คือ

1.ออกมาตรการเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีเงินจับจ่ายใช้สอยเพื่อช่วยสร้างความอุ่นใจ และลดข้อกังวลการถูกเลิกจ้าง โดยมาตรการของกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินจะเน้นออกมาช่วยเหลือทางด้านนี้ และให้สถาบันการท่องเที่ยวต่างๆ ดูแลลูกจ้างของตัวเองเพื่อผ่านพ้นภาวะช่วงนี้ไปให้ได้ โดยกระทรวงคลังจะเตรียมมาตรการภาษีเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถผ่อนคลายได้

“ฉะนั้นการเลย์ออฟพนักงานอาจจะไม่จำเป็น แต่เราจะมีมาตรการอย่างอื่นเข้ามาช่วยทั้งเรื่องการเงินและภาษี เพื่อให้ผู้ประกอบการดูแลพนักงานได้”

อย่างไรก็ดี หากเป็นบุคคลที่ทำอาชีพอิสระ จะพยายามให้มีงาน และมีการพูดถึงการฝึกอบรม โดยที่กระทรวงท่องเที่ยว กระทรวงอุดมศึกษา และกระทรวงแรงงานจะร่วมกัน โดยจะให้สถาบันราชภัฎทั่วประเทศบวกกับมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องทำโครงการฝึกอบรมในเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าจะมีรายได้ต่อวัน เป็นช่วงสั้นๆ

นอกจากนี้ต้องการให้คนไทยเที่ยวกันเองเพื่แทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยกระทรวงคลังช่วยดีไซน์แพกเกจให้คนสนใจที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยคนไม่กล้าขึ้นเครื่องบินทาง บมจ.ท่าอากาศยาน(AOT) สแกนคนก่อนจะขึ้นเครื่องเพื่อให้มีความมั่นใจ

และกำลังหารือธนาคารการเกษตรเพื่อสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ส่งพนักงานไปดูงาานทั่วประเทศ และกองทุนหมู่บ้าน 7 หมื่นกว่าหมู่บ้านสามารถที่จะส่งคนไปดูงานตามจุดต่างๆ ที่ ธ.ก.ส.วางไว้ เพื่อพัฒนาชุมชน แหล่งท่องเที่ยวและสภาพคล่องต่างๆ ซึ่งจะเกิดการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยทางกระทรวงคลังเองก็จะพยายามเร่งให้รัฐวิสาหกิจทำกิจกรรมเหล่านี้

“เราต้องการให้คนออกไปเที่ยว แม้ว่าจะมาทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็จะทำให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ประคับประคอง ในช่วงที่ทุกประเทศกำลังเจอปัญหานี้” นายสมคิดกล่าว

หรือมีแนวคิดอยากจะให้คนชราอายุเกิน 60 ปี สามารถไปท่องเที่ยวในวันธรรมดา และนำใบเสร็จท่องเที่ยวมาหักภาษีให้กับบุตรได้ ขณะเดียวกันในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ภาครัฐจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน ซึ่งเป็นการลดภาระและเพิ่มรายได้ให้กับคนยากจนในช่วง 3-4 ข้างหน้า

2.มาตรการกระตุ้นให้คนออกไปใช้จ่าย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงคลังและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมมือกัน เพื่อให้มีโครงการที่คนอยากจะออกไปใช้จ่าย

3.เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการจากรายได้ที่หายไป โดยแบงก์ชาติจะเป็นผู้ที่ประสานงานกับกระทรวงคลังผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้เกิดสภาพคล่องที่เพียงพอในภาวะการณ์เหล่านี้

สิ่งใดที่ต้องเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก็หวังว่าจะเข้าก่อนและประกาศใช้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เดือน มี.ค. เพราะยังมีพอมีเวลา ช่วงนี้ก็ต้องรอให้งบประมาณรีบผ่านจะได้ไปสู่การลงทุนอย่างอื่น เนื่องจากช่วงนี้ต้องการประคองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นพิเศษ

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้มีมาตรการเพิ่มเติมเป็นเฉพาะ เรื่องจากที่ผ่านมาทุกธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอยู่แล้ว โดยธนาคารจะเร่งเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น ทั้งการพักชำระหนี้ ยืดอายุการชำระหนี้ ช่วยลดดอกเบี้ย หรือการเสริมสภาพคล่อง เป็นต้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่าธนาคารทุกแห่งได้เข้าไปดูแลช่วยเหลือลูกค้าเชิงรุกอยู่แล้ว และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด