“ซูซูกิ” ปรับใหญ่ ก้าวขึ้นผู้นำอีโคคาร์ ชู “เน็ตเวิร์ก-ความพึงพอใจ”

แม้ว่าจะเข้ามานั่งกุมบังเหียน ดูแลตลาดรถยนต์ “ซูซูกิ” ในบ้านเราได้เพียงขวบปีเศษ แต่ผลงาน “โยจิ มุโรซากะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ต้องบอกว่าเกินคาด เนื่องจากเข้าใจตลาดและพฤติกรรมการใช้รถของคนไทยได้เป็นอย่างดี ด้วยดีกรีที่เคยรั้งตำแหน่งผู้นำทางด้านการตลาดของซูซูกิมาตั้งแต่ปี 2557 นั้น

วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนซูซูกิกับเป้าหมายถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำอีโคคาร์อย่างยั่งยืน

ขายเพิ่ม 4 พันคัน

ช่วงที่ผมเข้ามารับตำแหน่งขณะนั้นเป็นช่วงสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรกไปแล้ว และตลาดอยู่ในภาวะหดตัวลงทั้งตลาด ปี 2558 นั้น เราปิดตัวเลข 20,000 คัน และในปีถัดมาทำได้ 22,000 คัน

ส่วนปีนี้ เราตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คัน จากสิ่งที่เราและทีมงานได้ผ่านนั้น เชื่อว่าตลาดและซูซูกิยังสามารถที่จะเติบโตไปได้อีกแน่นอน และวันนี้แนวโน้มก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากไม่มีปัจจัยลบที่รุนแรงเกิดขึ้น

เร่งปรับปรุงเน็ตเวิร์ก

วันนี้เรามี 2 อย่างที่ต้องรีบปรับปรุง คือ 1.เครือข่ายการจัดจำหน่าย เนื่องจากเราต้องการเพิ่มทั้งในปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันเรามี 108 แห่งทั่วประเทศ จากก่อนหน้าที่มี 80 แห่ง และปีนี้เราตั้งใจจะเพิ่มให้ได้ 120 แห่งทั่วประเทศ และ 2.การเพิ่มค่าความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อซูซูกิ ซึ่งเราต้องการพัฒนาปรับปรุง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดอย่างต่อเนื่อง จากปี 2558 เราอยู่อันดับ 9 แต่ปีที่แล้วเราได้ค่าความพึงพอใจเพิ่มขึ้นมาอยู่อันดับ 4 และเราหวังว่าเราจะพยายามเพิ่มตรงนี้ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ความจริงใจสร้างความพึงพอใจ

สำหรับ ซูซูกิ เราเองมีการประเมินตัวเองอยู่เสมอ และทันทีที่เราเจอจุดบกพร่องในแต่ละส่วน เราก็จะหารือกับดีลเลอร์นั้น ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาทีละจุดทันที พูดแล้วดูเหมือนง่าย ทุกค่ายก็ทำได้ แต่สำหรับเราเองนั้น ใช้ความจริงใจในการเข้าไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับดีลเลอร์ เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและสามารถปรึกษาหารือกันได้ตลอดเวลา

ซูซูกิเรามีดีลเลอร์มีตติ้งถึงปีละ 4 ครั้งหรือจะเรียกว่ารายไตรมาสเลยทีเดียว และยังไม่นับรวมที่ “คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม” กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาดของเราที่เดินสายทำงานร่วมกับตัวแทน จำหน่ายทั่วประเทศ แต่ถ้าถามว่า วันนี้พอใจหรือไม่ ? ผมตอบได้ตรง ๆ เลยว่า ยังไม่พอใจ เพราะเราและทีมเชื่อว่ายังมีจุดที่เราสามารถทำเพิ่มเข้าไปได้อีก ที่ผ่านมาซูซูกิมีความยากลำบาก แต่เราก็สามารถผ่านมาได้ อย่างรถสวิฟท์ของเราขายมาปีที่ 5 เข้าสู่ปีที่ 6 เราก็ยังต้องทำอะไรเพิ่มขึ้นปีนี้จะเป็นปีที่เราจัดระบบองค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมและจะเติบโตไปอย่างก้าวกระโดดต่อไป

เร่งมืออีโคคาร์ 2

ปีนี้ประเทศไทยมีกำลังผลิตที่ 60,000 คัน และ 2 ใน 3 ของกำลังผลิต เป็นการรองรับตลาดส่งออก ทั้งในยุโรป ละตินอเมริกา ปากีสถาน ทุกรุ่นที่เราผลิต ทั้งเซเลริโอ้ สวิฟท์ และเซียส มีการส่งออก และเราก็ได้ตลาดใหม่ ๆ เพิ่มมาอย่างต่อเนื่อง จากกำลังผลิตสูงสุดของเราทำได้ที่ 100,000 คันต่อปี จากการทำงาน 2 กะ

เราทำได้อย่างสบาย ๆ หลังจากเราตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนอี โคคาร์ 2 เมื่อเดือนมีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และยังไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้มากนักสำหรับโครงการนี้ แต่ที่แน่ ๆ ซูซูกิมองว่า อีโคคาร์โครงการหนึ่งคือโครงการหนึ่ง และโครงการสองคือโครงการสองแยกกันชัดเจน วันนี้ซูซูกิพอใจกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของซูซูกิ ประเทศไทย ในสภาพตลาดที่ยากในปัจจุบัน และเราจะก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำในตลาดอีโคคาร์ให้ได้

ยันอีโคคาร์คือคำตอบ

วันนี้สำหรับซูซูกิ เรามีเทคโนโลยี “ไฮบริด” แต่เรายังไปไม่ถึงเทคโนโลยี “อีวี” แต่เราเข้าใจว่าลูกค้ามีความสนใจและต้องการรักษาสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น และเราทุกคนอาจจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ได้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า ซูซูกิเองเรามีบทบาทในการพัฒนาอีโคคาร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่น เดียวกัน ที่ทุกคนสามารถจับต้องและเป็นเจ้าของได้ง่าย เห็นได้จากสัดส่วนอีโคคาร์วันนี้ มีสัดส่วนสูงถึง 39% ของยอดขายรถยนต์นั่ง และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น

การที่ซูซูกิตัดสินใจเข้ามาลงทุนใน ประเทศไทย ก็เพราะโครงการรถยนต์อีโคคาร์ เราได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การส่งเสริมการลงทุนที่ดีจากรัฐบาลไทย แต่ทั้งนี้เราเองก็อยากสะท้อนกลับไปถึงรัฐบาลไทยว่าผู้ลงทุนอีโคคาร์เข้ามา ตามคำเชิญชวนของรัฐบาล

และวันนี้พิสูจน์จากผู้ใช้แล้วว่าอีโคคาร์เป็นรถที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพ จนไม่มีคำถามคาใจ รัฐบาลควรจะดูแลให้อยู่รอดปลอดภัย