เทสต์คาร์ : อมร พวงงาม
วันก่อน คุณพี่หนุ่ม “ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี” จีเอ็ม แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ใน เครือเอ็มจีซี เอเชีย
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ชักชวนไปทดลองขับ แอสตัน มาร์ติน ดีบีเอส ซูเปอร์เลจเจรา
โอกาสดี ๆ แบบนี้ ผมไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด
เริ่มต้นก็ต้องเข้าคอร์สอบรมที่ไปที่มากันก่อนที่จะสัมผัสตัวรถกันอย่างจริงจัง
ซูเปอร์คาร์คันนี้ราคารวม ๆ เกือบ 30 ล้านบาท
ถ้าไม่สาธยายให้เห็นถึงตำนาน ประสบการณ์ของแบรนด์ซึ่งทอดยาวมากว่า 100 ปี
เสียดายตาย
“ฉัตรชัย” จัดเป็นลูกหม้อมาสเตอร์กรุ๊ปคนหนึ่ง
คนนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ก็อยู่มิลเลนเนียม ออโต้
ดีลเลอร์บิ๊กบึ้มของบีเอ็มดับเบิลยู
ถ้าจะบอกว่าปี 2563 ค่ายใบพัดสีฟ้าขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดรถหรู
คนนี้ออกแรงดันไม่ใช่น้อย
กลับมาที่แบรนด์ “แอสตัน มาร์ติน” นับแต่แจ้งเกิดจากการเข้าร่วมวงการมอเตอร์สปอร์ตโดยชนะเลิศเลอมังส์ปี 1959
สิริรวมถึงปีนี้ก็ราว ๆ 108 ปี
ถ้าจะให้พูดถึงคอลแบรนด์ แอสตัน มาร์ติน
มักจะมีคำพูดนี้เก๋ ๆ เสมอว่า การสร้างสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้นบนโลกจะทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น
แอสตัน มาร์ติน จึงได้สร้างรถขึ้นมาโดยใช้หลักการ “อัตราส่วนที่เหมาะสม” หรือ “โกลเดนเรโช”
อัตราส่วนนี้อยู่บนรถแอสตัน มาร์ติน ทุกคัน นอกจากความสมส่วนแล้วยังสวยด้วย
และแอสตัน มาร์ติน ทุกคันเป็นงานศิลปะ
หรืองานแฮนด์บิลด์
พนักงานทุกคนที่ประกอบรถจะไม่ใช่ “เวิร์กเกอร์” แต่จะเรียก “อาร์ตติสต์”
เพราะรถทุกคันใช้มือประกอบ ทำเสร็จจะมีคนมาตรวจสอบแล้วลงลายมือชื่อ
เหมือนกับภาพวาดของศิลปิน ทุกคันจึงเป็นงานศิลปะที่รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้โลกสวยงาม
ส่วนคันที่เราจะได้สัมผัสกันวันนี้ เป็น “ดีบีเอส ซูเปอร์เลจเจรา” เครื่องยนต์ 12 สูบ
แอสตัน มาร์ติน ดีบี 11 ตัวก่อนหน้านี้เปิดตัวเมื่อปี 2016 เป็นเครื่องยนต์ V12 สูบ มีแค่ 600 แรงม้า
แต่ตัวนี้ทำแรงม้าได้ถึง 715 แรงม้า
ถือว่าแรงที่สุด สำหรับซูเปอร์คาร์ที่จดทะเบียนวิ่งบนท้องถนนได้
จากโปรดักต์ที่เป็นศิลปะ เอามาผสมผสานแล้วกลายเป็นรถสปอร์ตที่วิ่งได้เร็วที่สุด
นี่ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่แอสตัน มาร์ตินก็ทำสำเร็จ
ปี 2020 แอสตัน มาร์ติน ชนะเลิศเลอมังส์ด้วยตัวถังของนิวแวนเทจที่เวิลด์เอนดูแรนซ์
ตอกย้ำว่าในอดีตที่เราเคยชนะ เรายังไม่หยุดพัฒนา
ปีนี้แชร์โฮลเดอร์ใหม่ นำแอสตัน มาร์ติน เข้าสู่ฟอร์มูล่า-1
วันที่ 28 มีนาคมนี้ ที่บาห์เรน เราจะได้เห็นแอสตัน มาร์ตินลงสนามแข่งขันเป็นครั้งแรก
และนี่คือสิ่งที่แอสตัน มาร์ติน กำลังจะก้าวเดินต่อไปในอนาคต
เห็นทิศทางกันแล้ว ทีนี้ก็ไปสัมผัสรถกันเลย
ดีบีเอส ซูเปอร์เลจเจรา ตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มซูเปอร์ จีที ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน
เป็นรถที่ขับสบาย ไม่ต่างจากรถหรู ๆ คันหนึ่ง แต่มีกำลังแรงม้าหายห่วง
รูปทรงบึกบึนที่สุดของแอสตัน มาร์ติน หรูหราทั้งภายนอกและภายใน วัสดุที่ใช้คุณภาพสูงที่สุด จัดเป็นในกลุ่มรถสะสม
รหัสดีบีเอส ไม่ได้มีออกมาบ่อย ๆ แอสตัน มาร์ติน อายุกว่า 100 ปี แต่มีดีบีเอสไม่ถึง 5 รุ่น เพราะฉะนั้น ต้องพิเศษจริง ๆ
โดยเฉพาะแบรนด์แอสตัน มาร์ติน ได้รับเลือกให้เป็นพาหนะประจำตัว “เจมส์ บอนด์”
เอกลักษณ์เด่น ๆ ของดีบีเอส ด้านหน้าเน้นความดุดันมาก่อน
กระจังหน้า แบบรังผึ้งมีความเป็นเรซซิ่ง และ S-curve ต่าง ๆ ยังคงเป็นเอกลักษณ์
มีขนาดใหญ่เพื่อรับอากาศเข้าระบายความร้อน
ไม่เฉพาะแค่เครื่องยนต์ แต่จะรวมไปถึงอื่น ๆ ด้วย
เนื่องจากภายในช่องฝากระโปรงจะมีช่องทางเดินของอากาศที่จะสู่ระบบเบรก รังผึ้งต่าง ๆ รวมทั้งเป็นแอโรไดนามิกไปในตัว
ซูเปอร์เลจเจรา เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “เบา”
ดังนั้น วัสดุที่ใช้กับตัวถัง หลัก ๆ ก็จะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ เช่น ฝากระโปรงหน้า อันนี้มาทั้งชิ้น
เวลาเปิดยกขึ้นทั้งแก้มด้านข้างด้วย เปิดจากด้านหลัง เป็นลักษณะของรถจีทีโดยแท้จริง
ส่องเข้าไปบริเวณล้อยังเห็นครีบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแอโรไดนามิกล้วน ๆ
สำหรับการเปิด-ปิดฝากระโปรงหน้า ห้ามปล่อยกระแทกเด็ดขาด วางเบา ๆ เป็นแบบซอฟต์โคลส
ตัวเส้นสายดูบึกบึนถอดแบบมาจากรถแข่ง เพื่อช่วยทางด้านอากาศพลศาสตร์
สำหรับรถที่มีแรงบิดสูง ๆ มักจะให้ความสำคัญกับ “ดาวน์ฟอร์ซ”
ดีบีเอสออกแบบให้มีแรงกดด้านหน้าด้วยลิ้นหน้าแบบคาร์บอนไฟเบอร์
ตัวลิ้นนี้ไม่ใช่แค่เพิ่มแรงกดอย่างเดียว แต่มันสามารถจัดเรียงอากาศเข้าช่วยระบายความร้อน
ลมเข้าจากด้านหน้า จะมีมวลอากาศหมุนวนอยู่ในซุ้มล้อด้านหน้า
แล้วจัดเรียงอากาศให้วิ่งไปข้างรถแล้วไหลออกท้ายรถ เพื่อให้มีความสมดุลและลงตัวที่สุด
เทคนิกนี้เก็บเกี่ยวจากการเข้าร่วมกับฟอร์มูล่า-วัน เลยได้ประโยชน์มาเยอะ
ผมว่ารถที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูง ๆ ใครก็ทำได้
แต่วิ่งด้วยความเร็วสูง แล้วรถยังนิ่งเกาะถนนได้อย่างเป็นเยี่ยม อันนี้แหละเป็นโจทย์ที่ท้าทาย
ด้านท้ายก็จะมีแอโรไดนามิกที่จะมาส่งแรงกด เป็นดาวน์ฟอร์ซด้านท้ายรถ
สปอยเลอร์หลังจะทำหน้าที่รับลมมาจากหลังคา รับรองได้เลยไม่ว่าจะย่านความเร็วไหน
ท้ายไม่ลอยแน่ ๆ ยังมีลมที่วิ่งจากซีดัก หรือช่องรับลมที่เสาซี ช่วยกดส่วนท้ายอีกแรงด้วย
รู้ใช่มั้ยว่าเครื่องยนต์ วี 12 5.2 ลิตร ทวินเทอร์โบ
แรงบิด 900 นิวตันเมตร ทำงานที่ 1,800-5,000 รอบต่อนาที
ใต้ฝากระโปรงมีม้ายั้วเยี้ย 700 กว่าตัว ท็อปสปีดทะลุ 340 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้แค่ 3.4 วินาที
ต้องการแรงกดส่วนท้ายมากแค่ไหน ?
ดังนั้น ดีบีเอสจึงต้องเพิ่มดิวฟิวเซอร์ ที่เป็นครีบให้ลมไหลผ่านได้เร็วตรงส่วนท้าย
อันนี้ก็ลอกมาจากฟอร์มูล่า-วัน แต่แอสตันเรียกมันว่าดับเบิลดิวฟิวเซอร์ เป็นครีบอีกชั้นหนึ่งที่ทำให้ลมวิ่งผ่านได้เร็วขึ้น
ต้องยอมรับว่าการออกแบบภายในห้องโดยสารเนี้ยบมาก
ความเป็นซูเปอร์ จีที ซึ่งวิศวกรของแอสตัน มาร์ติน ให้ความสำคัญมาก
ใครจะเชื่อรถที่แรงม้าสูง จะยังคงความสะดวกสบายไว้ครบถ้วน
ภายในดีไซน์ให้ความรู้สึกไม่อึดอัด เบาะนั่งกว้าง นั่งสบาย
แผงข้างประตูมีลักษณะเว้าออกไม่บีบตัว ไม่ต่างจากซีดานหรู ๆ
แผงแดชบอร์ดมีความเรียบง่าย
ไม่ได้ดุดันเหมือนอย่างแวนเทจ ที่หน้าตายังกับค็อกพิตรถแข่ง แต่ดีบีเอสเน้นหรูหรา
ตัวเบาะแม้ว่าจะเป็นสปอร์ตพลัส แต่ก็ไม่โอบกระชับเหมือนบักเก็ตซีต
วัสดุหนังเป็นพรีเมี่ยมสุด ๆ ที่มาของหนังก็ค่อนข้างล้ำลึก
ใช้วัวอายุน้อย เลี้ยงใน พท.ไม่มีแมลงสัตว์กัดต่อย อยู่โซนทางเหนือของสกอตแลนด์ ผลที่ตามมาคือ เรียบไร้รอยย่น ถ้าจมูกถึง ๆ ได้กลิ่นรู้เลยว่าสุดยอด
ดีบีเอสสามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลักเซอรี่ได้อย่างชัดเจน
พวงมาลัยคลาสสิก กระชับ วางในตำแหน่งที่ดีมาก หัวเข่าไม่ชน
ความเป็นจีที ทำให้ดีบีเอสใช้งานได้หลากหลาย
มีพื้นที่ขนสัมภาระด้านท้ายรถถึง 280 ลิตร
วางถุงกอล์ฟแบบขวาง 1 ใบ ได้สบาย ๆ
ตัวนี้ยังแก้ปัญหา โดยมีพื้นที่เก็บของภายในรถ
ไม่ต้องวางเกะกะบนเบาะ เป็นช่องตรงกลางมีระบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า และไม่ลืมช่องเสียบยูเอสบีสำหรับแก็ดเจตต่าง ๆ
ดีบีเอสใช้โครงสร้างหลักเป็นอะลูมินั่ม เพื่อการลดน้ำหนักผสมผสานกับคาร์บอนไฟเบอร์
น้ำหนักรวมของเหลวประมาณ 1.8 ตันเท่านั้น (เฉพาะเครื่องยนต์เบากว่า ดีบี 11 ราว ๆ 30 กก.)
ถ้ายังไม่สะใจ จะเปลี่ยนเป็นคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มเติมก็ไม่ว่ากัน
อีกสิ่งหนึ่งที่วิศวกรของแอสตัน มาร์ติน ไม่ปล่อยผ่าน
ก็คือเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ แค่กดคันเร่งเบา ๆ 2,000 กว่ารอบต่อนาทีก็กระหึ่มแล้ว
ดีบีเอสใช้เกียร์ 8 สปีดทอล์กคอนเวอร์เตอร์จากแซดเอฟ
นุ่มนวล สมูตกว่าดับเบิลคลัตช์ เรียนรู้การปรับเปลี่ยนจากสภาพการขับขี่
ตำแหน่งติดตั้งอยู่ท้ายรถ นอกจากบาลานซ์น้ำหนักแล้วยังช่วยลด ความร้อน
ส่วนเพลาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบามาก
โดยมีอุโมงค์อะลูมิเนียมครอบอีกชั้นเพื่อป้องกันความเสียหาย
ส่วนโหมดการขับมีให้เลือก 3 แบบ ปรับทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่าง
สามารถแยกกันปรับได้ อันแรก นอร์มอล สบาย ๆ แต่ซิ่งได้
แต่ถ้าอยากดุดัน ขยับขึ้นเป็นสปอร์ต เสียงท่อกระหึ่มมากขึ้น
หรือยังไม่สะใจ จะเป็นสปอร์ตพลัส ก็จะได้แรงบิดมาเต็ม ๆ
แค่กดปุ่มรอบเครื่องยนต์ขึ้นมารอเลยครับ เกียร์ชิปดาวน์ลงมารอ พร้อมกระชากความแรงตามที่เราต้องการ
แถมหยุดได้ตามสั่ง จานเบรกคาร์บอนเซรามิก หน้า 410 มิลลิเมตร หลัง 360 มิลลิเมตร
จับคู่กับล้อแม็กฟอร์จขอบ 21 นิ้ว และยางพิเรลลี่ P Zero หน้า 265/35/21 หลัง 305/30/21
จัดเป็นรถที่ขับสนุกมาก ๆ ที่สำคัญ ใช้งานได้ทุกวันได้ซะด้วย
และไม่ต้องห่วงว่า วอร์แรนตีจะหมดเร็ว เพราะรุ่นนี้
รับประกันคุณภาพ 5 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง