
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
เคยมีคนถามผมว่า “โพล” ของสำนักไหนน่าเชื่อถือที่สุด
เพราะบางทีสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นเดียวกัน แต่ผลของโพลแต่ละสำนักแตกต่างกัน
- หวั่น EV ไทย…ซ้ำรอยจีน
- “ทรู-ดีแทค” ถล่มโปร “คืนค่าเครื่อง” ย้ำรวมกันได้มากกว่า
- ครม.เศรษฐา ออกกฎเหล็ก-วางแนวทางให้ข่าวสื่อมวลชน
เราไม่รู้ว่าโพลของใครถูกต้อง
เพราะพิสูจน์ไม่ได้
ดังนั้น วิธีวัดความแม่นยำของสำนักโพล ผมจะดูจากผลงานในอดีต
ผลงานที่สามารถวัดผลได้
ดีที่สุด คือ โพลเลือกตั้ง
เพราะทำโพลก่อนเลือกตั้งว่าพรรคไหนจะชนะ ชนะเขตไหนบ้าง ปาร์ตี้ลิสต์จะได้เท่าไร
ถ้าโพลอื่น ๆ เราวัดผลไม่ได้
แต่โพลเลือกตั้งวัดผลได้
ทันทีที่ผลการเลือกตั้งออกมา เราจะรู้เลยว่าใครแม่น ใครไม่แม่น
บางสำนักก็ไม่แม่นเพราะการกระจายกลุ่มตัวอย่างไม่ดี ผิดกลุ่ม หรือรูปแบบการสำรวจไม่ปรับตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
แต่บางสำนักไม่แม่นเพราะ “มั่ว”
หรือรับจ้างทำโพล
ถ้าโพลผลการเลือกตั้งของสำนักไหนใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ผมก็จะเชื่อโพลความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางสังคมของสำนักนั้นมากกว่าสำนักอื่น
วิธีการแบบนี้ผมใช้กับหลาย ๆ เรื่อง
อย่างเช่น ตอนนี้ผมสนใจวิธีการทำงานของ คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่
คุณเศรษฐา เป็นนักธุรกิจมาก่อน “วิธีคิด-วิธีทำงาน” เขาย่อมติดนิสัยภาคเอกชน
ที่มุ่ง “เป้าหมาย” และ “ความเร็ว”
คิดและทำเพื่อให้งานสัมฤทธิ์ผลเร็วที่สุด
แต่พอมาทำงานการเมือง การตัดสินใจทุกเรื่องไม่ใช่มีผลต่อเรื่อง “งาน” เท่านั้น
ความรู้สึกของประชาชนก็สำคัญ
“กระบวนการ” จึงสำคัญไม่แพ้ “เป้าหมาย”
เร็ว-ช้า-หนัก-เบา
หรือทำอะไร “ก่อน” หรือ “หลัง” ก็สำคัญ
และเนื่องจากเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกจังหวะก้าวของเขาจะถูกจับตามอง และถูกวิพากษ์วิจารณ์
นี่คือ บทเรียนที่ดีสุดที่เรานำไปปรับใช้ได้
อย่างล่าสุด มีบทเรียนเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญของงาน
ควรทำอะไรก่อน อะไรควรทำทีหลัง
อย่างเช่น เรื่องการรับฟังปัญหาหรือแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
หลังจากคุยกับคนทำงานในภาคการท่องเที่ยว ทั้งการท่าอากาศยานฯ และผู้บริหารสายการบินแล้ว
คืนก่อน คุณเศรษฐาโพสต์ภาพการพบปะกับนักธุรกิจใหญ่หลายคนในทวิตเตอร์ส่วนตัว
ทั้งคุณวิชิต สุรพงษ์ชัย-คุณอาทิตย์ นันทวิทยา ของเอสซีบีเอกซ์ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี ไทยเบฟฯ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ซี.พี. คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา คิง เพาเวอร์
คุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ช.การช่าง คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และคุณจรีพร จารุกรสกุล ดับบลิวเอชเอ
เป็นการขอความคิดเห็นจากภาคเอกชน
ถ้าในอดีต ภาพแบบนี้จะดีมาก เพราะเหมือนกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจใหญ่
แต่วันนี้สังคมไทยเปลี่ยนไป คำว่า “ทุนผูกขาด” และ “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ไม่แปลกที่กระแสที่ออกมาจึงไม่ดีนักสำหรับคุณเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย
เหมือนกับไปรับฟังแต่ “ทุนใหญ่”
วันต่อมา คุณเศรษฐาจึงไปรับฟังความเดือดร้อนของพ่อค้า-แม่ค้าในตลาดนัด
เหมือนแสดงให้เห็นว่ารับฟังทุกฝ่าย
เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ
เพราะเพียงแค่เรียงลำดับ “ก่อน-หลัง”
“ความรู้สึก” ของคนจะเปลี่ยนไป
ถ้าไปเยี่ยมพ่อค้า-แม่ค้าก่อน แล้วค่อยไปพบนักธุรกิจใหญ่ คนจะรู้สึกแบบหนึ่ง
แต่เมื่อไปเยี่ยมนักธุรกิจใหญ่ก่อน ความรู้สึกก็ไปอีกทาง
การแขวนป้ายทางการเมืองว่าเป็น “รัฐบาลคนรวย” หรือ “รัฐบาลคนจน”
อาจเพียงแค่ไปเยี่ยมใครก่อนเท่านั้นเอง
คุณเศรษฐาอาจคิดถึง “เป้าหมาย” เป็นสำคัญ
ลืมเรื่อง “กระบวนการ”
คิดเพียงแค่ว่าถ้าได้รับความร่วมมือจากกลุ่มธุรกิจใหญ่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะง่ายขึ้น
เพราะคนกลุ่มนี้ขยับทีนึง ผลที่เกิดขึ้นมหาศาล
แต่เขาลืมไปว่าตอนนี้เขาเป็น “นักการเมือง”
ความรู้สึกของสังคมมีความสำคัญ
เพราะตอนลงคะแนนเลือกตั้ง มหาเศรษฐีหรือพ่อค้าตลาดนัดก็มี 1 เสียงเท่ากัน
ต้องบาลานซ์ความรู้สึกของสังคมให้ดี ๆ
เพราะในทางการเมือง
“ความเชื่อ” คือ “ความจริง”