
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ผมเพิ่งไปเมืองจันท์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ได้คุยกับ คุณอุกฤษฎ์ วงษ์ทองสาลี ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี เรื่อง “ทุเรียน” เมืองจันท์
เขาบอกว่าปีนี้ผลผลิตทุเรียนแต่ละสวนน่าจะลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เป็นผลมาจากอากาศแปรปรวน และภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมา
แต่มีบางคนบอกว่าจำนวนพื้นที่การปลูกทุเรียนในเมืองจันท์ปีนี้เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ตัวเลขผลผลิตรวมลดลงไม่มากนัก
อีกสัก 2 เดือน รอจนหมดฤดูกาลขายทุเรียน ตัวเลขคงจะชัดเจน
“ทุเรียน” นั้นถือเป็นสินค้าการเกษตรที่ทำรายได้ให้กับเมืองจันท์สูงมาก และเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย
ลูกค้ารายใหญ่จนเกือบจะเรียกว่าเป็นรายเดียวของ “ทุเรียนไทย” คือ จีน
ที่เมืองจันท์ช่วงหน้าทุเรียน จะมี “ล้งจีน” ผุดขึ้นเต็มไปหมด
ที่พักในจังหวัดเต็มไปด้วยคนจีนที่มาทำธุรกิจซื้อขายทุเรียน
พอส่งออกทุเรียนมากขึ้น ราคาทุเรียนในประเทศก็ขยับสูงขึ้น
วันนี้ “ทุเรียน” กลายเป็นผลไม้ราคาแพงสำหรับคนไทย
ราคาทุเรียนในประเทศขยับตัวสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว
เพราะส่งออกเป็นส่วนใหญ่
ตอนที่มีข่าวว่าทุเรียนเมืองไทยมีปัญหา ราคาตก
เพจไหนที่แชร์ข่าวนี้จะมีคนเข้ามาคอมเมนต์ดีใจบอกว่าราคาทุเรียนจะได้ลดลงเสียที
คงเป็นความรู้สึกคล้ายตอนที่เราเห็นราคาห้องพักของโรงแรมในภูเก็ตช่วงโควิด
เพราะที่ผ่านมาและวันนี้ ราคาโรงแรมภูเก็ตเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ แล้วสูงกว่ากันมาก
มันเป็นเรื่อง “ดีมานด์-ซัพพลาย” ธรรมดา
แต่จริง ๆ แล้วราคาทุเรียนที่เมืองจันท์ปีนี้ยังปกติ
แม้จะอยู่ใน กทม. แต่ผมใช้วิธีการตรวจเช็กง่าย ๆ คือ เข้าไปในเพจของชาวสวน เขาจะสอบถามราคากันในเพจว่าที่ไหนราคาเท่าไร
มีการเอาป้ายราคารับซื้อของล้งแต่ละแห่งมาลง
ราคาที่ไหนดี เขาก็ไปขายที่นั่น
ทุกจังหวัดมีหมด
อย่างเช่น อยากรู้ราคาทุเรียนที่ล้งรับซื้อวันนี้ เราก็แค่เสิร์ชในเฟซบุ๊กว่า “ราคาทุเรียนจันทบุรีวันนี้”
เพจของชาวสวนจะขึ้นมาพรึ่บเลยครับ
เขาจะแจ้งราคากันในนั้น
แต่ปีนี้มีประเด็นหนึ่งที่มีคนพูดกันเยอะ คือ ยอดส่งออกทุเรียนไปจีนที่เมืองไทยเคยยืนหนึ่งมานาน
ปีนี้อาจแพ้เวียดนาม
เขาเอาตัวเลขยอดไตรมาสแรกมาเทียบกัน ปรากฏว่าไทยแพ้เวียดนาม
คนในวงการทุเรียนก็แย้งว่า เอาตัวเลขไตรมาสแรกมาเทียบไม่ได้
เพราะผลผลิตทุเรียนของไทยจะเริ่มที่ภาคตะวันออกในไตรมาสที่สอง จากนั้นภาคใต้ก็รับไม้ต่อจนถึงปลายปี
ไตรมาสหนึ่ง ทุเรียนเมืองไทยจึงมีน้อย
ในขณะที่เวียดนามมีผลผลิตตลอดทั้งปี และจีนเพิ่งทยอยเปิดให้เวียดนามส่งทุเรียนสดเมื่อ 2 ปีก่อน
กราฟยอดส่งออกของเวียดนามจึงกำลังไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ
แต่ถ้าวันหนึ่ง “เวียดนาม” จะชนะ “ไทย” ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะเวียดนามได้เปรียบไทยมากทีเดียว ทั้งผลผลิตที่มีเกือบทั้งปี และการมีชายแดนติดกับจีน
ทุเรียนสามารถตัดได้แก่กว่าเพราะใช้เวลาในการขนส่งทุเรียนน้อยกว่าไทย และต้นทุนค่าขนส่งต่ำกว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไทยสู้ไม่ได้จริง ๆ
ส่วนทุเรียนไทยยังได้เปรียบเรื่องแบรนด์และความเชื่อถือ เพราะครองตลาดมานาน
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ชาวสวนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจว่าเราต้องส่งออกไปจีนเป็นที่ 1
ขอแค่ว่าส่งออกได้มากขึ้นตามปริมาณทุเรียนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากคนลงทุนปลูกทุเรียนมากขึ้น
นอกจากนั้นก็ขอให้ “ราคา” ทุเรียนยังสูงแบบนี้ ไม่ถูกกดราคา และขายง่ายเหมือนเดิม
เขาขอแค่นี้
ถามว่าเป็นไปได้ไหม ต้องตอบว่าเป็นไปได้ เพราะตลาดจีนนั้นมโหฬารมาก ยังมีคนจีนจำนวนมากยังไม่ได้กินทุเรียน
ยอดบริโภคทุเรียนต่อคนของจีนก็ยังต่ำมาก
ครับ “ทุเรียน” ยังเป็น “โอกาส” ของเมืองไทย
ขอแค่ทำรายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้นตามเป้า
แต่จะเป็นที่ 1 หรือไม่
ไม่ต้องสนใจมากนัก