“ประชาธิปัตย์”กางนโยบายกู้วิกฤตฝุ่นพิษ โวแก้เบ็ดเสร็จ-ยั่งยืน

ปชป.ขายนโยบายกู้วิกฤติฝุ่นพิษ จี้ “รบ.-กรมศุลฯ” เปิดทางปชช.ซื้อหน้ากากปลอดภาษีแจกให้ทั่วถึง แนะ ปรับแผนยุทธศาสตร์ชาติรองรับอนาคต -วางแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใช้ในปท. พร้อมใช้มาตรการภาษีจูงใจ ตัดใบอนุญาต-บีโอไออุตสาหกรรมฯก่อมลพิษ พร้อมใช้กม.ภาษีที่ดินเอื้อเอกชนเพิ่มพื้นที่สีเขียว

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงปัญหาวิกฤตฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นในกทม.และหลายพื้นที่ทั่วประเทศว่า พรรคปชป.ไม่ต้องการให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง และเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ทำงานทุกฝ่ายบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และถือเป็นโอกาศที่จะมองว่าวิกฤตครั้งนี้คือสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนที่สุดว่ากระบวนการพัฒนาประเทศไม่สามารถดำเนินการไปตามกรอบเดิมๆได้

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ดังนั้นพรรคขอเสนอนโยบาย “อากาศสะอาด” เพื่อมุ่งเป้าลดฝุ่น PM2.5 อย่างเบ็ดเสร็จ และยั่งยืน พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะกลางและระยาว เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งระบบ โดยในระยะสั้นหรือเร่งด่วนคือ รัฐบาลควรจะจายหน้ากากให้ประชาชนได้ทั่วถึง เพราะบางหน่วยงานแจกให้เฉพาะที่ตั้งของตนเอง และหารือกับกรมศุลกากรให้สามารถนำเข้าหน้ากากได้โดยไม่เสียภาษี และมีมาตรการตรวจสอบไม่ให้นำมาจำหน่ายในราคาที่สูงเกินไป อีกทั้งควรระงับการก่อสร้างเพื่อบรรเทาไม่ให้ความแรงของปัญหาเกิดขึ้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องกำหนดทิศทางนโยบายให้ชัดเจน เพราะมีการคาดการณ์หลังจากนี้ไปทุกปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะเผชิญปัญหาสภาวะอากาศที่ทำให้เกิดความหนาแน่นของฝุ่นพิษซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย คือ การขนส่งที่ใช้พลังงานดีเซล โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ในที่โล่ง รวมถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ดังนั้นเราต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์พัฒนา และกำหนดแนวทางและแผนที่ชัดเจน โดยในส่วนของรถยนต์ ซึ่งไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการผลิตในเอเชีย จึงต้องยกระดับยานยนต์ไทย สำหรับเครื่องดีเซลควรมีเครื่องกำจัดไอเสียดักเขม่า โดยเริ่มทำทันทีกับรถยนต์ของภาครัฐ และใช้มาตรการภาษีจูงใจกับรถยนต์ของเอกชนเช่นรถบรรทุกหรือรถเชิงพาณิชย์ต่างๆ และปรับเปลี่ยนภาษียานยนต์ให้สัมพันธ์กับการก่อมลพิษที่เกิดขึ้นในกรณีของส่วนบุคคลโดยผ่านกลไกการต่อทะเบียนและภาษีสรรพสามิต

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนยานยนต์ดีเซลมาใช้ระบบไฟฟ้า เริ่มจากรถในภาครัฐ และรถวิ่งสาธารณะ ควรกำหนดเงื่อนไขในการสัมปทานว่าผู้ประกอบการจะต้องเสนอใช้ยานยนต์ไฟฟ้าโดยมีเงื่อนไขไม่เป็นภาระกับผู้บริโภคและขอสนับสนุนจากรัฐในการตรึงราคาค่าโดยสาร ส่วนการปรับเปลี่ยนรถที่เหลือให้มาใช้ระบบไฟฟ้า ควรมีมาตรการจูงใจเช่นระบบภาษี จัดหาสถานีเติมไฟให้มีจำนวนเพียงพอ และเรียกประชุมผู้ประกอบการทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดวันให้ชัดเจนตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์ระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ

“ส่วนการผลิตไฟฟ้านั้น พรรคยืนยันว่าไม่สนับสนุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มเติมทุกกรณี และเรียกร้องให้ทบทวนแผนพลังงานที่กำลังพิจารณาอยู่ ให้เน้นใช้พลังงานไฟฟ้าที่สะอาดมากกว่ากำไรขาดทุน ส่วนการผลิตอุตสาหกรรมจะต้องมีการติดตั้งเครื่องมือตรวจสอบมลพิษอัตโนมัติ ไม่ควรรอให้มีเจ้าหน้าที่ไปตรวจและไม่ควรออกใบอนุญาต หรือให้บีโอไอ.กับโรงงานที่ก่อมลพิษในกทม.และปริมลฑล

ส่วนปัญหาเผาไหม้ในพื้นที่โรง เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องเข้าไปให้ข้อเสนอหรือสนับสนุนเกษตรกรเช่น เครื่องจักร รถตัด หรือสนับสนุนให้เพิ่มมูลค่า เช่นผลิตก้อนฟาง และมาตรการครบวงจรในระยะยาว“ หัวหน้าพรรคปชป.กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ยังเสนอให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง เช่น พื้นที่ส่วนราชการที่เวนคืนแต่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ควรมีการปลูกต้นไม้ และพื้นที่ของเอกชนที่รกร้างว่างเปล่าควรใช้มาตรการภาษีให้ปรับเป็นพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะภาษีที่ดิน อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่นพิษไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยประเทศเดียว เราควรใช้โอกาสที่จะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนในปีนี้กำหนดวาระ “อากาศสะอาดในอาเซียน” ในหัวข้อหลักของการประชุม เพราะหลายประเทศในอาเซียนก็เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน

“เราขอเรียกร้องรัฐบาลให้เร่งดำเนินการในส่วนที่สามารถที่ทำได้ในขณะนี้ และบังคับใช้กฏหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนและก่อให้เกิดปัญหาอย่างเคร่งครัดและลงโทษสถานหนัก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 

ที่มา:มติชนออนไลน์