ศาลนัดชี้ชะตาคดีกรุงไทย 25 พ.ย. “โอ๊ค” เตรียมเดินสายทำบุญ ยันมาฟังตัดสินด้วยตัวเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงินธนาคารกรุงไทย 10 ล้านบาท โดยมีนางพินทองทา คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาวเดินทางมาให้กำลังใจ ขณะเดียวกันมีรายงานว่าคุณหญิงพจน์มาน ดามาพงศ์ มารดา เดินทางมาให้กำลังใจ โดยใช้ทางขึ้นด้านหลังศาล เลี่ยงการปรากฏตัวต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังมี นางสาวขัตติยา สวัสดิผล รองเลขาธิการพรรค พร้อมคนใกล้ชิดนายพานทองแท้เดินทางมาให้กำลังใจ และในช่วงเช้ายังไม่ปรากฏแกนนำพรรคเพื่อไทยคนสำคัญ มาให้กำลังแต่อย่างใด สำหรับคดีคดีฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยนั้น นายพานทองแท้ได้ยื่นคำให้การใหม่และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยเลือกให้การใหม่ทั้งหมด

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ เบิกความเกี่ยวกับการวางแผนที่จะดำเนินธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซูเปอร์คาร์ ที่จะมีนายรัชดา บุตรชายวิชัย ผู้บริหารเครือกฤษดามหานครร่วมด้วยว่า แนวคิดดังกล่าวตนเป็นผู้คิดเอง มาตั้งแต่ช่วงปี 2547 จากที่ได้มีการพูดคุยในกลุ่มเพื่อน 5-6 คน โดยหลังจากพูดคุยกันแบบไม่เป็นทางการแล้ว ในวันรุ่งขึ้น นายรัชดาได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับจำเลย ว่าจะขอร่วมลงทุนด้วย โดยเหตุที่นายรัชดาเร่งโทรมาคุย เพราะกังวลว่าจำเลยจะลืมชักชวนนายรัชดาในการลงทุนด้วย ซึ่งแนวคิดขณะนั้นคิดไว้เพียงว่าการลงทุนน่าจะต้องใช้เงินลงทุนคนละ 20 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่ารถซูเปอร์คาร์นั้นต่อคันจะตกอยู่ที่ 20 ล้านบาทขึ้นไป โดยช่วงนั้นที่ยังไม่มีบุคคลอื่นมาร่วมเสนอลงทุนด้วยจำเลยก็ไม่ทราบเหตุผล

ในการจะดำเนินธุรกิจดังกล่าวนั้น ตนได้ให้ นายเฉลิม แผลงศร ซึ่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (CFO) ที่ดูแลเรื่องการเงินทุกบริษัทของจำเลยไปศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจดังกล่าว แม้นายเฉลิมไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ซูเปอร์คาร์ แต่ที่จำเลยมอบหมายงานให้ศึกษาเพราะเป็นผู้ที่จำเลยให้

ความไว้วางใจในเรื่องที่ได้ดูแลเรื่องการเงินบริษัทและเงินส่วนตัว รวมทั้งธุรกิจของจำเลยด้วย
โดยสุดท้ายธุรกิจนี้ไม่ได้ดำเนินไป ซึ่งยุติลงในชั้นของการศึกษาแนวทางก็เพราะนายเฉลิม ได้แจ้งผลการศึกษาการดำเนินธุรกิจนี้ให้กับจำเลยทราบว่ามีความเป็นไปได้ยาก และจะไม่คุ้มเงินลงทุนทางธุรกิจส่วนที่นายรัชดาโอนเงิน 10 ล้านบาทให้จำเลย ที่จะมาร่วมลงทุนโดยเป็นเช็คชื่อนายวิชัยนั้นจำเลยไม่ทราบเหตุผล

นอกจากนี้จำเลยยังได้ตอบคำถามศาลเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวและของตัวจำเลยรวมทั้งความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวจำเลยกับนายเฉลิม และระหว่างตัวจำเลยกับนายรัชดาและนายวิชัยว่า ในครอบครัวของจำเลยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคือ นายทักษิณ บิดา, นางสาวยิ่งลักษณ์ อาของจำเลย ซึ่งทั้งสองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและลูกพี่ลูกน้องที่เป็น ส.ส. ส่วนตัวจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง

โดยปัจจุปันจำเลยประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีอยู่ 7 กิจการ อาทิ บริษัทวอยซ์ทีวี บริษัทฮาวคัม ฯลฯ โดยจำเลยมีรายได้1 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในจำนวนนี้ 4 แสนบาท เป็นค่าตอบแทนที่ได้จากธุรกิจวอยซ์ทีวี ที่เหลือเป็นเงินปันผลจากหุ้นบริษัทต่างๆ ซึ่งจำเลยจะมีค่าใช้จ่าย 4-5 แสนบาทต่อเดือน

ส่วนธุรกิจของครอบครัวปัจจุปันมีประมาณ 7 กิจการ เช่น โรงแรมโรสวูด แบงค์คอก กับสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งบางกิจการจำเลยก็มีหุ้นอยู่ด้วย และกับใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวจำเลยกับนายรัชดา รู้จักมาตั้งแต่อายุ 21 ปีและเคยไปหานายรัชดาที่บ้าน ซึ่งอยู่ในพื้นบริเวณเดียวกันกับบ้านของนายวิชัยแต่เป็นคนละหลัง โดยจำเลยไม่เคยไปพบนายวิชัยที่บ้าน

ทั้งนี้นายพานทองแท้ ยังตอบคำถามศาลด้วยว่า ระหว่างการถูกดำเนินคดีจำเลยได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ 3 หน่วยงาน ซึ่งได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองที่เชื่อว่าถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานได้ตรวจสอบโดยมี 2 หน่วยงานที่แจ้งกลับมาว่าจะทำการตรวจสอบให้คือ สำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยจำเลยยืนยันว่าจำเลยไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองใดๆ เป็นการส่วนตัวกับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้

ภายหลัง นายพานทองแท้ เบิกความตอบคำถามศาล, อัยการโจทก์ และทนายความจำเลยเสร็จสิ้นแล้วในเวลา 12.45 น. ศาลเห็นว่าได้ไต่สวนพยานครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วจึงนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ตามกำหนดเดิม คือวันที่ 25 พ.ย.นี้เวลา 10.00 น. โดยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน นับจากวันนี้หากไม่ยื่นภายในกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจ

จากนั้นนายพานทองแท้ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเบิกความ ว่า ไม่ได้เครียดอะไรมาก แต่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นการเข้าไต่สวนเป็นครั้งแรก บรรยากาศในห้องพิจารณาไม่เครียด ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะพูดทุกอย่างตามความจริง วันนี้ตนเองได้ให้คำตอบกับศาลไปอย่างชัดเจน ในทุกข้อซักถาม แต่ก็ไม่ทราบว่าจะชัดพอไหม อย่างไรก็ตาม มีความคาดหวัง สิ่งที่พูดไปกับศาลวันนี้ จะทำให้ผลการตัดสินจะออกไปในทิศทางที่ดี ซึ่งหลังจากเสร็จขึ้นศาลวันนี้ ตนเองจะไปทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคล และจะกลับมาฟังคำตัดสินอีกครั้งในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ด้วยตนเอง