“พิธา” กางโจทย์ นายกฯคนต่อไป พรรคก้าวไกลพร้อมเข้าสู่อำนาจบริหาร

สัมภาษณ์พิเศษ
ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

ปัจจุบัน ในบรรดาพรรคการเมืองที่มีตัวตน มี ส.ส.ในสภา มีเพียงไม่กี่พรรคที่ประกาศ “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีของพรรค ไม่มีเปลี่ยนตัว

หนึ่งในนั้นคือ “พรรคก้าวไกล” ที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผู้ที่นั่งเป็นหัวหน้าพรรค เขาเป็นคนที่รับไม้ต่อจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล ผ่องถ่ายผู้ร่วมอุดมการณ์จากอนาคตใหม่ ไปสู่พรรคก้าวไกล หลังจากถูกยุบพรรคการเมือง

“พิธา” คือคนที่ “ธนาธร” บอกว่า ในการเลือกตั้งปี 2566 เขาจะพร้อมที่สุดในการบริหารประเทศ เพราะถ้านับอายุ พิธาจะอายุน้อยกว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกฯแค่เพียง 1-2 ปี

แม้ไทม์ไลน์การเลือกตั้งหากรัฐบาลปัจจุบันอยู่ครบวาระ จะเหลือ 15 เดือนแต่ 15 เดือนสำหรับนักการเมืองที่ต้องสร้างผลงาน สร้างกระแสให้เข้าตาโหวตเตอร์ 15 เดือนแค่พริบตาเดียว

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนา “พิธา” ถึง “ความพร้อม” ในอีก 1 ปี ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล

เตรียมตัวเข้าสู่อำนาจ

พิธากล่าวว่า ต้องทำหน้าที่เดิมให้เข้มแข็งมากกว่าเดิม ไม่ว่าเรื่องการส่งว่าที่ผู้สมัครลงเลือกตั้งทุกครั้ง หรือผลักดันนโยบายที่อดีตพรรคอนาคตใหม่ที่จะพยายามทำให้เป็นกฎหมาย ไตรมาสแรกมีร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า และร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา

ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเคยสัญญาไว้กับประชาชน เราจะต้องทำให้เข้มข้น จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา กฎหมายที่เกี่ยวกับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับปฏิรูปกองทัพ ก็ถูกตีตกหมด แต่ที่เหลือต้องพยายาม พยายามโชว์ให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลพยายามยุติการสืบทอดอำนาจ มีการแก้รัฐธรรมนูญในปี 2565 อย่างจริงจังมากขึ้น

เตรียมตัวที่จะเข้าสู่อำนาจบริหาร จริง ๆ แล้วพอมีประสบการณ์ ผมเคยมีประสบการณ์ทั้งเอกชนและราชการ เคยอยู่ในทำเนียบรัฐบาลมาก่อน เคยอยู่สภามาก่อนที่จะเป็น ส.ส. เตรียมความพร้อมที่จะเข้าใจกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่นายกฯคนต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครต้องเจอ

คงไม่ใช่เป็นเรื่องความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องวิกฤตสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม digital disruption ที่มานานแล้ว และเริ่มจะเห็นผล วิกฤตการต่างประเทศระหว่างขั้วอำนาจที่มีอยู่ หรือวิกฤตทางสิทธิมนุษยชนและการต่างประเทศในอาเซียน ต้องมีความรู้ความสามารถในการบริหารตรงนี้ได้

เพราะหลาย ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหน้าบ้านประชาชน เรื่องบริหารน้ำก็มาจากการสร้างเขื่อน มาจากลุ่มแม่น้ำโขง เรื่อง PM 2.5 เป็นเรื่องของการเผาข้ามประเทศ transitional pollution ที่มาจากมาลาเซีย อินโดนีเซีย พม่า กัมพูชา มาที่ไทย

ดังนั้น ถ้าใครที่เข้าใจเป็นระดับ มาจากขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก ค่อยมาสู่ระดับภูมิภาค แล้วค่อยมาสู่ประเทศไทย แล้วค่อยกลับมาสู่จังหวัด และกลับมาสู่สังคม ครอบครัวของประชาชนที่ทุกข์ทรมานอยู่ ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการกู้เงินมาเพิ่มและเยียวยาอย่างเดียว มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ดุลของโลกเปลี่ยนไป และทำให้ position ของไทยเปลี่ยนไป

“นายกฯคนใหม่ต้องพร้อมแหวกว่าย เงื่อนไข และ layer อย่างนั้น ทำให้ไทยแข่งขันได้อีกครั้งหนึ่ง”

ชง กม.ลูก รื้ออำนาจศาล-กกต.

แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะเจอแรงเสียดทานทางการเมืองหนักหนากว่าพรรคอื่น แต่ “พิธา” มองว่าเป็นเรื่องปกติ

เป็นเรื่องปกติของการเมืองทั่วไป และเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย เหมือนที่บอกผมอยู่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2547-2548 ตอนที่มีเหตุการณ์หลายครั้งกับรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในตอนนั้น ผมค่อนข้างเจอมาก่อนตั้งแต่ยังเด็ก เข้าใจเรื่องแบบนี้

แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ การที่เรา รวมถึงพวกเราทุกคน ยังกลัวว่าเรื่องยุบพรรค เรื่องกลั่นแกล้งกันทางการเมือง การใส่ร้ายป้ายสี การใช้ไอโอ เต้าข่าว สร้างข่าว ซื้องูเห่า เป็นปกติวิสัยสำหรับประชาธิปไตยที่จะยอมรับได้ ตรงนี้ต่างหาก เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าต้องพูดกันเรื่อย ๆ ต้องอธิบายกันเยอะ ๆ

ซึ่งมีหลายส่วนเกี่ยวกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ กกต. ความยากลำบากของพรรคการเมืองในการทำให้พรรคการเมืองกลายเป็นสถาบัน

ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะได้พูดคุยในการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่พรรคก้าวไกลเสนอเข้าสู่รัฐสภา ที่จะเกี่ยวโยง เกี่ยวพันกัน เพื่อทำงานทางความคิดว่าไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ตลอด 20 ปีของการเมืองไทยที่ผ่านมา

ก้าวข้ามกติกาที่ได้เปรียบ

เมื่อกติกาเลือกตั้งที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ ได้ ส.ส. 80 ที่นั่ง คือระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ถูกเปลี่ยนเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ “ระบบผสมเสียงข้างมาก” ทุกคนจับจ้องว่าพรรคก้าวไกลจะได้เสียงลดลง แต่ “พิธา” ไม่คิดเช่นนั้น

ก็เป็นการอนุมาน เหมือนตอนที่อนุมานว่าพรรคอนาคตใหม่ จะได้ ส.ส.แค่ 10-20 คน บอกว่าจะเป็นอย่างนู้น เป็นอย่างนี้ ครั้งนี้ก็เป็นการอนุมาน ซึ่งเป็นการอนุมานที่อาจเป็นไปได้ ถ้าเรายอมถอย ถ้าเรายอมแพ้ ถ้าเราไม่ปรับตัว แต่เป็นการอนุมานคล้าย ๆ กับพรรคอนาคตใหม่ก็ได้ ถ้าเราปรับตัว ปรับทัศนคติ ปรับนโยบาย ปรับยุทธศาสตร์ในการทำงาน

ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราทำมาตลอดในการที่จะทำให้มีฐานรากทางการเมืองผ่านสมาชิกจังหวัด ทีมงานจังหวัด ผ่านผู้สมัคร ส.ส.ที่เราอนุมัติไปประมาณ 200 กว่าเขต เกิน 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ที่ผ่านการเคาะของกรรมการบริหารพรรค และให้ได้เริ่มแข่งขันการทำงาน และเริ่มลงพื้นที่ เป็นสิ่งที่เราเตรียมตัวมานาน

ถ้าย้อนหลังไปปี 2563 ไม่ว่าจะได้ระบบเลือกตั้งแบบ MMP หรือเปล่า ซึ่งเราคิดว่าเป็นสัดส่วนที่เป็นธรรม ไม่ใช่เพราะเราได้เปรียบจากกติกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมโตมาจากนิวซีแลนด์ ซึ่งใช้ระบบการเลือกตั้งแบบ MMP ไม่มี 2 พรรคใหญ่ที่ dominate มากเกินไป มีพรรคที่เป็นตัวแทนความฝันของกลุ่มชาติพันธุ์ มีพรรคที่เป็นตัวแทนความฝันของกลุ่ม LGBT กลุ่มสิ่งแวดล้อม ผมว่าสภาจะกลมกล่อม

“แต่เมื่อสภาโหวตตกไปแล้ว ผมก็ก้าวข้ามมันไปแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าระบบเลือกตั้งจะออกมาในรูปแบบไหน จะใช้บัตรใบเดียว หรือใช้บัตร 2 ใบ ใช้ระบบ MMA แบบเดิม หรือแบบอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องรู้ว่าการเมืองในวันข้างหน้ามีได้หลายฉากทัศน์”

ฉากทัศน์ 1 เราทำแบบนี้ ฉากทัศน์ 2 เราทำแบบนี้ ฉากทัศน์ 3 เราทำแบบนี้ ดังนั้น เมื่อมันออกมาแบบนี้ เราสู้เต็มที่แล้วไม่หันกลับไปมองข้างหลังแล้ว เราก็ต้องทำให้นโยบายเขตเราชัดเจน การทำงานในเขตต้องเข้มข้น

“สิ่งที่คนอนุมานแบบนี้ และเขาไม่เข้าใจ เพราะว่าเราไม่เคยพูดไง เมื่อมันออกมาเป็นแบบนี้ จุดแข็งที่เราจะมีคือความขยัน คนของเราเป็นคนวัยหนุ่มสาว ที่มีกำลังวังชา ลงพื้นที่ตลอด ใกล้ชิดกับพี่น้องในตลาด ใกล้ชิดกับพี่น้องในชุมชน ในบ้านพักเคหะ ใกล้ชิดกับ SMEs ในพื้นที่ ใกล้ชิดกับพี่น้องแรงงาน กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งได้ใกล้ชิดกันมา 6-7 เดือน”

จุดแข็งก้าวไกล

“พิธา” เปรียบเทียบว่า จุดแข็งที่พรรคอนาคตใหม่ไม่มี แต่พรรคก้าวไกลมี คือ “เวลา”

เพราะเรามีเวลาในการทำงาน เดินวน 3-4 รอบ นำปัญหาของเขาเข้าสู่สภา ไปช่วยเขาแก้ปัญหา เอาร่างกฎหมายไปให้เขาดูว่า ปัญหาเกี่ยวกับเหมือง เขื่อน ที่ดิน นิคมจะนะ ที่พวกคุณจะเจอ ถ้าเราเป็นรัฐบาลเราจะแก้ให้คุณแบบนี้ และจะมีค่ามากกว่าเงิน พัน สองพันบาทที่พรรคอื่นเสนอ ถ้ามี แน่นอน เพราะนี่เป็นการทำเงินแบบระยะยาว

ถ้าใช้ภาษาการเมือง เป็นเหมือน relationship politic ไม่ใช่ transactional politic ที่แลกเปลี่ยนกันครั้งต่อครั้ง แต่ relationship politic ทำงานแบบระยะยาว เป็นนโยบายที่ผมให้กับว่าที่ผู้สมัครไว้

เป้าไม่ต่ำกว่ายุคอนาคตใหม่

“พิธา” ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลส่งครบ 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อ ครบตามกติกา

“ผมว่าต้องได้เยอะกว่าตอนที่พรรคอนาคตใหม่ ต้องให้ตัวเลขที่ได้รับความนิยมชมชอบมากกว่านั้น ในตัวเลขในใจก็มี แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเปิดเผยทุกครั้ง คนเป็นผู้นำต้องให้กำลังใจทั้ง 400 เขต และต้องทำงานเป็นยุทธศาสตร์ เพราะคนที่ลงหาเสียงอยู่ตอนนี้ แล้วบอกว่าเราจะเอาแค่ 140 เขตอีก 360 เขตไม่ได้หวัง คนทำงานก็ไม่มีกำลังใจ”

“ผมคิดว่าต้องหาสมดุลระหว่างการสื่อสารกับภายนอก กับการทำงานภายใน ในใจจริงต้องเยอะ ที่แน่ ๆ 100% ที่พูดได้ ต้องมากกว่าอดีตพรรคอนาคตใหม่แน่นอน”