ภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ยังต้องเผชิญกับอะไรกันอีกบ้าง พร้อมมุมมองและคำแนะนำการลงทุนดี ๆ กับ “กวี ชูกิจเกษม” ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
วันที่ 27 มิถุนายน 2565 เตรียมตัวก้าวเข้าสู่ในช่วงครึ่งปีหลัง นักลงทุกจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงอะไรอีกบ้าง และท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวนมากมาย จะต้องลงทุนอย่างไร เลือกหุ้นกลุ่มไหนเพื่อให้ยังสามารถเติบโตได้
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
วันนี้ร่วมพูดคุยกับ “กวี ชูกิจเกษม” ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)
Q : กำลังก้าวเข้าสู่ในช่วงของครึ่งปีหลังกันแล้ว นักลงทุนจะต้องเจออะไรกันอีก เฟดจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้งและไปจบที่ระดับไหน รวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ประเมินสถานการณ์เหล่านี้ยังไงบ้าง
ช่วงตั้งแต่ต้นปีธนาคารกลางสหรัฐพยายามจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องและขึ้นค่อนข้างเร็วและรุนแรง แต่สังเกตให้ดีในช่วงครึ่งปีแรกจนถึงปัจจุบันในตลาดโลกตลาดหุ้นไทยถือว่าทำผลงานได้ดีมาก ลงมาน้อยที่สุดในตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงว่าตลาดหุ้นไทย outperform
หลักเลยเป็นเพราะว่า 1 หุ้นที่เขาขายมาส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีแต่หุ้นไทยไม่มีนั่นคือความโชคดี 2 คือช่วงแรกเรามีเงินเฟ้อต่ำก็เลยทำให้เม็ดเงินจากต่างประเทศมีการไหลเข้ามาพักในตลาดหุ้นไทยแสนกว่าล้าน แล้วก็สาเหตุที่ 3 ก็คือประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ทุกคนมองว่าเศรษฐกิจปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้ดี ฉะนั้น 3 ประเด็นหลักนี้ที่ทำให้หุ้นไทย outperform ตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ว่าพอครึ่งปีหลังสิ่งที่หายไปหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของอเมริกาลงมารับข่าวเรื่องของการหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐไปมากพอควรแล้ว
เงินเฟ้อของประเทศไทยเราสุดท้ายก็ขึ้นมาสูสีกับคนอื่นแล้ว และก็อาจจะยังขึ้นไปอีกสัก 2 เดือน ก็อาจจะไปพีกในช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งกันพีกอาจจะไม่ใช่ 7% อาจจะเป็น 8% หรือ 9% ตรงนี้ก็จะทำให้ความที่ต่างประเทศสนใจหุ้นไทยก็หายไปแต่ประเด็นที่ 3 ยังอยู่ก็คือเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจประเทศอื่นและเลือกตั้งก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมและการขึ้นดอกเบี้ยของบ้านเราก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเยอะตามต่างประเทศ
ด้วยเหตุผลว่า 1 คือเราไม่กล้าขึ้นเพราะหนี้ครัวเรือนเราเยอะ ดอกเบี้ยของเรามันไม่อาจที่จะไปลดเงินเฟ้อลงได้ เราไปลุ้นให้ราคาน้ำมันลดลงดีกว่า ก็เลยขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่พยายามควบคุมให้เงินไหลออกเป็นการไหลออกแบบธรรมชาติที่สุด ไหลออกได้ไม่เป็นไร คุณลงทุนหุ้นคุณจะขายหุ้นออกแล้วเงินออกไปไม่ว่า แต่ต้องไม่เกิดการเก็งกำไร
ฉะนั้นโดยภาพรวมแล้วก็เป็นไปได้ว่าตลาดในช่วงครึ่งปีหลังก็เป็นไปได้ว่าต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยอยู่ ก็อเมริกายังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไปไม่หยุดแน่นอนจากนี้ไปอีก 2-3 ครั้ง จริง ๆ แล้วเขามองกันแถวประมาณ 3.5% หรือ 3.75% ตอนสิ้นปีนี้ หรือว่าต้นปีหน้า นั่นหมายถึงว่าดอกเบี้ยของอเมริกาก็จะขึ้น ๆ แต่ดอกเบี้ยของไทยจะขึ้นช้ากว่าเพราะฉะนั้นเราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกที่เงินบาทเราจะต้องอ่อน
Q : ท่ามกลางสถานการณ์อย่างแบบนี้ หุ้นตัวไหนที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
จริง ๆ ดอกเบี้ยขาขึ้นมันไม่ได้ดีอยู่แล้วกับโดยภาพรวมของตลาดหุ้นแต่มันจะมีกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเรื่องอื่น ซึ่งสิ่งที่เราน่าจะรับข่าวต่อจากนี้ไปก็คือว่าถ้าเกิดเงินเฟ้อมันเริ่มพีก ดอกเบี้ยมันเริ่มพีก มันจะทำให้กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยลงมากกว่าที่จะมาแทนที่จะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขึ้น
เชื่อว่ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคโดยตรง ฉะนั้นกลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ เผอิญราคายังไม่ค่อยแพงด้วย ไม่ว่าจะเป็น CPALL , HOMEPRO , MAKRO
กลุ่มที่ 2 ก็จะเป็นกลุ่มที่เป็นกลุ่มเฮลท์แคร์ก็คือกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มโรงพยาบาลก็จะมี BDMS , BH
กลุ่มที่ 3 ก็ยังมองในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถึงแม้ว่าจะลงมาเยอะมาก แต่ถ้าเงินเฟ้อผ่านจุดพีกไปได้แล้ว และทุกคนมองว่าดอกเบี้ยจะลง หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าก็จะเป็นกลุ่มที่ลงมาเยอะและอาจจะกลับมาได้ก็คือ GPSC แล้วก็ตัว BGRIM
อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือกลุ่มท่องเที่ยวก็มองเป็น CENTEL ถ้าเป็นโรงแรมอย่างเดียวก็เป็น ERW และก็จะเป็นตัว AOT แล้วก็จะเป็น BAFS ซึ่ง BAFS นี่ก็คือธุรกิจเติมน้ำมันเครื่องบิน
พอดอกเบี้ยเริ่มมองว่ามันจะพีกแล้วนะ กลุ่มที่จ่ายปันผลสูง defensive หน่อย ๆ จ่ายปันผลสม่ำเสมอก็จะเริ่มเป็นที่น่าจับตามอง ที่ผมมองอยู่แน่นอนว่าต้องมี ADVANC กับ INTUCH เพราะว่า 2 ตัวนี้จ่ายปันผลค่อนข้างสูงแล้วก็อีก 2 ตัวในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็คือ TISCO และ KKP อย่าง KPP จ่ายปันผลอยู่ที่ประมาณ 5-6% TISCO นี่ไปกันใหญ่จ่ายปันผลอยู่ที่ 8%
อีกกลุ่มหนึ่งขอเป็นเก็งกำไรนิดนึงในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะเสี่ยงขึ้นมาหน่อย ก็คือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ดอกเบี้ยถ้าไม่ได้พีกไปมากกว่านี้แล้วผมเชื่อว่าความต้องการบ้านยังคงอยู่ แล้วก็ราคาหุ้นของหุ้นกลุ่มนี้มันลงมา แต่ว่าถ้าจะเอาตัวที่ปลอดภัยที่สุดจะเป็น LH
แล้วก็มีหุ้นในกลุ่มอาหารเพียว ๆ ก็จะมีตัว MK แล้วก็มองตัว TU ก็ได้ครบแทบทุกกลุ่มที่น่าจะเริ่มลงทุนก่อนได้ในช่วงที่ตลาดอยู่ตรงนี้แต่ว่าถ้าเป็นนักลงทุนเอาระยะสั้นกลุ่มนี้คือเล่นรีบาวน์ แต่อย่างที่บอกว่าการรีบาวน์รอบนี้มันยังต้องระมัดระวัง สิ่งที่เราต้องเจอในปีหน้าคือเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว
ดังนั้นการที่หวังว่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลจะมาซื้อหุ้นเพื่อให้มันขึ้นไปเยอะ ๆ อย่าไปหวัง ยิ่งสหรัฐอเมริกาเขากำลังจะถอนเงินออกจากระบบด้วย เพราะฉะนั้นระบบสภาพคล่องในโลกจะลดลงมันก็จะไม่มีเม็ดเงินใหม่มาดันตลาดหุ้นให้ขึ้นไปแพง ๆ ได้ประกอบกับเราจะเห็นเศรษฐกิจหดตัวที่รออยู่ข้างหน้า ฉะนั้นหุ้นขึ้นไปก็ยังเป็นจังหวะถ้าเก็งกำไรซื้อตรงนี้ 1,640 จุด 1,630 จุด หรือ 1,650 จุด ตรง ไหนก็ได้แล้วแต่เป็นโซนขาย
Q: ทีนี่ถ้าเป็นสำหรับนักลงทุนระยะยาวแบบ VI แนะนำนักลงทุนยังไงดี
ณ ชั่วโมงแถวนี้คือถ้าหุ้นมันลงมาแถวแนวรับที่เราคุยกัน 1,530 จุด 1,540 จุด หรือ 1,550 จุด คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการที่เราจะเก็บหุ้นพื้นฐานดีเอาไว้ซักส่วนหนึ่ง อย่างนักลงทุน VI ที่พอร์ตยังไม่ได้เต็มหรือว่าพอร์ตยังว่าง ๆ อยู่ คิดว่าอย่างน้อยเราควรจะซื้อซัก 30% ของพอร์ตเก็บเอาไว้ในช่วงเวลานี้ ก็เป็นหุ้นที่เราคุยกันไปเมื่อสักครู่นี้
ยกเว้น LH เพราะว่า LH เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์อาจจะมีแรงเหวี่ยงอยู่พอสมควร เราซื้อบน valuation ที่อย่างน้อยเราคิดว่ามันไม่ได้แพงจนเกินไป เพราะว่ามันลงมาตั้งแต่ 1,800 จุด อย่าลืมนะครับท่านผู้ชมท่านผู้ฟัง เราลงมาตั้งแต่ 1,800 จุดตอนนี้ลงมาเหลือ 1,500 กว่าจุด ก็ปรับลงมาเกือบ 300 จุดแล้ว มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับนักลงทุน VI ที่อาจจะเลือกเก็บพอร์ตซักส่วนหนึ่งเอาไว้แล้วก็สมมติถ้ามันลงไปแถว ๆ 1,400 จุด
อย่างที่พูดเอาไว้ถ้าลงไปจริง ๆ เพราะว่าเชื่อว่าปีหน้าตลาดหุ้นก็ยังมีโอกาสที่จะเห็น 1,400 จุดอยู่ ก็อาจจะซื้อไปอีก 30% ในหุ้นที่เราเลือกเอาไว้แล้วตอนที่เราซื้อรอบแรกแล้วก็จะกลายเป็น 60% ของพอร์ตแล้วตอน 1,400 จุด
ก็รอดูสถานการณ์อีกรอบหนึ่งเก็บเงินสดไว้ 40% ไม่ลงก็ไม่เป็นไรถือว่าเราได้โอกาสในการซื้อหุ้นไป 60% ของพอร์ตแล้วแต่ถ้าลงเราก็เก็บอีก 40% ตรงนี้เอาไว้ไว้ทยอยซื้อตอนที่มันลงไปสุด ๆ จริง ๆ